Saturday, May 30, 2009

โกหก ?

งืม

งื่ออออออ

แรงจริง ๆ กระแสแรง และคดีก็แรง

ไปมุงมาจนเมื่อยลูกกะตา บัดนี้เห็นหน้าจอสีม่วงกลายเป็นสีกรมท่า และสีกรมท่าก็มองไม่ออกว่าเขียวหรือน้ำเงิน เอ้อ เอากับมันสิ....

เรื่องโกหกหรือไม่โกหกเนี่ยนะ.... เอ้อ จะว่าไงดี

ปรกติเป็นคนที่ไม่ค่อยกล่าวหาคนอื่นว่าโกหกอยู่แล้ว ประมาณว่าใครเล่าอะไรมาก็เชื่อ โดนอำบ่อย ๆ แต่ก็เชื่อ จะว่าโชคดีก็ได้ที่เวลาโดนอำโดนหลอก จะไม่ค่อยมีพิษมีภัยอะไรกับชีวิต และไม่ได้ไปเสียทรัพย์อะไรให้ใคร ส่วนมากอำกันขำ ๆ มากกว่า

อย่างเช่น ตอนเรียนมัธยม ไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าที่อเมริกา เห็นคุณลุงขับรถเร็วกว่ากำหนด (ถนนติดป้ายกำจัดความเร็ว 55 mph คุณลุงเหยียบไป 60+) เลยถามคุณลุงว่า ขับเร็วแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ คุณลุงบอกว่า "อ๋อ เข็มไมล์มันเสีย จริง ๆ ลุงขับแค่ 40" อืม เราก็เชื่อ แล้วคงทำหน้าเชื่อออกนอกหน้าไปหน่อย คุณลุงกลั้นยิ้ม แล้วสักพักก็หันมาลูบหัวบอกว่า "ไม่ใช่หรอก ที่จริงลุงขับเกินกำหนด แต่แถวนี้ขับเกินแค่ 5-10 ไมล์ เค้าไม่จับ" อืมนะ....

หรืออย่างเพื่อนก๊วนแบดมินตัน ตอนไปเจอกันครั้งแรก มีเพื่อน ๆ ผู้ชายสองคนแนะนำตัวทำนองว่า เฮ้ยเราเรียนมัธยมที่เดียวกันนะ ตอน ม.ต้นที่เธอเคยโดนลูกบาสกระแทกหัวอ่ะ เราขอโทษ เราเป็นคนทำเองแหละ เอ้อ.... ก็ตอนนั้นเราไม่เห็นนี่ว่าใครเป้นคนชู้ตลูกนั้นมาลงหัวเรา (ก็มันโดนแล้วแหง่กไปเลย เพื่อน ๆ หิ้ว ๆ ลาก ๆ ไปพักที่ห้องพยาบาล จะไปรู้ได้ไงว่าใครโยน....) เราก็เชื่อดิ แล้วก็บอกเค้าว่า เออเฮ้ยไม่เป็นไรหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ..... ก็คงทำหน้าตาเชื่อแบบออกหน้าออกตาไปหน่อย เค้าเห็นแล้วสงสาร เลยทนไม่ไหว เฉลยออกมาเองว่า เฮ้ยเราอำเธอ เราไม่ได้เรียนที่นั่น

=_=;;

ถามว่าเราเชื่อคนง่ายเกินไปหน่อยมั้ย?

ไม่รู้สิ

แต่ถึงเราจะเชื่อก็ไม่ได้เชื่อแบบหัวปักหัวปำ หรือรีบไปทำตามที่คนอื่นบอกในทันทีหรอกนะ ส่วนมากที่เชื่อทันทีเลยเนี่ย จะเป็นพวกเรื่องเล่า หรือคำบอกเล่ามากกว่า บางครั้งขนาดตัวเราเอง เรายังไม่แน่ใจเลยว่าเราเชื่อเค้าเพราะเชื่อจริง ๆ หรือเชื่อเพื่อถนอมน้ำใจคนเล่า หรือเชื่อเพราะมารยาทกันแน่?

อย่างเด็กหนุ่มคนนึงที่เจอในเกม FFXI จำไม่ได้ว่าเป็นคนฮ่องกงหรือเปล่า แต่ประมาณว่าไปเรียนที่อเมริกา ที่มีเรื่องมาเล่าบ่อย ๆ เช่น เรื่องมีแฟนสองคน เรื่องแฟนสาวทั้งสองยอมให้มีเซ็กซ์โดยไม่ใส่ถุงยางได้เมื่อถึงวันเลี้ยงฉลองวันเกิด เรื่องตอนนี้แฟนท้องแล้วทั้งคู่ เรื่องเค้ากำลังจะได้เป็นคุณพ่อ เรื่องย้ายไปออสเตรเลียเพื่อไปรอคลอด และเรื่องแฟนหนึ่งในสองคลอดลูกแฝดแล้ว บลา ๆ ๆ เค้าเล่า ๆ มาเราก็เออออตลอด เวลาเค้าถามอะไร ขอคำแนะนำอะไร เราก็ตอบไปบนสมมติฐานว่าเค้าพูดจริงหมด และให้คำแนะนำอย่างจริงจัง

ถามว่า เชื่อมั้ย?

เราก็เชื่อครึ่ง ๆ อะนะ

คนอื่นบอกว่า อย่าไปฟังมัน มันโม้แล้ว มีที่ไหนผู้ใหญ่รับดูแลแบบ home stay ไม่พอ ยังมีบ้านให้อยู่ต่างหาก แล้วปล่อยลูกสาวตัวไปอยู่กับเด็กหนุ่ม แถมยังอยู่บ้านกันแบบ 3 คนผัวเมียอีก

ก็.... ไม่รู้อ่ะ เค้าเล่ามาแบบนี้ มันก็อาจจะจริงมั้ง

แต่ถึงไม่จริงก็ไม่เกี่ยวกับเรา แค่ฟังเรื่องเล่าเฉย ๆ ก็สมมติว่ามันจริงไปก่อน จนกว่าจะมีหลักฐานคัดค้านก็แล้วกัน

คือไม่อยากกล่าวหาหรือฟันธงว่าใครโกหก

เพราะคนเราเนี่ย ถ้าไม่ได้เจอ ไม่ได้ประสบด้วยตัวเองแล้ว แต่เป้นเรื่องที่ฟังคนอื่นมา มันก็ต้องมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ที่มันจะเป็นเรื่องจริงแท้ ๆ เป็นเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้าง หรือเป็นเรื่องไม่จริงเอาซะเลย

ถ้ามีหลักฐานว่า ที่พูดมามันไม่ตรงกับความเป็นจริง ก็ว่าไปอย่าง ยังพิสูจน์ได้ว่าโกหก

แต่บางเรื่องไม่มีทางพิสูจน์ได้ เพราะไม่ได้เก็บหลักฐานอะไรไว้เลย และเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเท่านั้นถึงจะรู้ว่าตัวเองพูดจริงแค่ไหน

อย่างเช่นเรื่องโดนหาว่าให้ญาติผู้ใหญ่เขียน essay (เรียงความ) ให้ หรือไม่ก็ไปจ้างคนอื่นเขียน

อะไรวะ.... ก็ตูนั่งเขียน(พิมพ์)เองจนถึงดึก ๆ ดื่น ๆ ตีสองตีสาม ยังโดนหาว่า a) ไปลอกมา หรือ b) ไปจ้างคนอื่นเขียน พอบอกว่าไม่ใช่นะ ไอเดียเนี่ยได้จากเรื่องที่คุยกับคุณลุง (ช่วงประมาณเดียวกับที่ตูโดนหลอกเรื่องเข็มวัดความเร็วในรถแหละ แสรด..... หรืออาจจะหลังจากนั้นไม่เกิน 2 ปี) ก็โดนข้อหาใหม่ c) การบ้านเนี่ยให้เขียนเอง ไม่ใช่ให้คุณลุงมาช่วย! เอ้า เวร ลุงตูอยู่อเมริกา จะมาช่วยทำการบ้านได้ยังไง!!!! สลัดกล้วย!!

สุด ๆ ของสุด ๆ .... โคตร ๆ ของโคตร ๆ

อารมณ์ตอนนั้นมันแบบ @#$%^@#%^@ (จริง ๆ ตอนนั้นออกแนวมึน ๆ งง ๆ มากกว่า แล้วก็ร้องไห้ด้วย กว่าจะตั้งสติได้ แล้วเริ่มมีเวลาโมโหก็ตอนผ่านไปหลายวันแล้ว) ความยุติธรรมไปอยู่ไหน?! คนพูดจริงโดนหาว่าโกหก จะอธิบายเหตุผลอาจารย์ก็ไม่ฟัง คือเขาตัดสินแบบมีอคติไปแล้วว่า ตูไม่มีความสามารถพอที่จะเขียนเองได้ พอเราบอกว่ามีพยาน(ตอนคิดหัวข้อ essay ไม่ออกเราโทรคุยกับเพื่อน และคยกันเรื่อยเปื่อยจนได้หัวข้อนั้นมา) ก็ยังไม่ยอมฟัง บอกว่าไม่เอาพยาน หาว่า"เพื่อนตูก็ต้องพูดเข้าข้างตู"อีก ฟ้าคคคคค!

มันคือความทุเรศของโลกมนุษย์ค่ะพี่น้อง

ความจริง ไม่สามารถช่วยเหลือเราได้เลยถ้าเราไม่มีอำนาจพอที่จะสำแดงความจริงนั้นให้โลกรู้

ก็แค้นนะ แต่ถ้าถามว่าเราคิดยังไง

ตอนนี้เราคิดว่าเราผิดเองที่อ่อนแอ และไม่กร้าวในเวลาที่ควรกร้าว ทำให้ปกป้องตัวเองและชื่อเสียงของตัวเองไม่ได้ และคงเป็นเพราะบุคลิกของเราเองที่เวลาโดนคำถามแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วดันงง ตกใจ จนทำท่าเหมือนมีพิรุธ อาจารย์เลยไม่ยอมเชื่อ (แต่หลังจากนั้นพอเรารวมสติได้ และพยายามกลับไปคุยอีกครั้ง อาจารย์เองนั่นแหละที่ไม่ยอมคุย ซึ่งข้อนี้เราถือว่าเป็นความใจแคบของเขา เป็นความผิดของเขาที่ไม่ให้โอกาสนักศึกษา)

มันเป็นแผลใจที่ยิ่งใหญ่มากค่ะพี่น้อง....

ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้เสียชื่อเสียงเลยอ่ะนะ เพราะเพื่อนคนอื่นเค้าก็รู้และเข้าใจกันทั้งนั้นว่าเราเขียนเองชัด ๆ.... เรื่องนั้น ผลลัพธ์ของมันก็มีแค่เราเสียเครดิตในสายตาอาจารย์ และเสียโอกาสได้คะแนนจากงานชิ้นที่ "ดีเลิศซะจนโดนกล่าวหาว่าไม่ได้เขียนเอง" (ทั้ง ๆ ที่อีตาอาจารย์คนที่ตรวจ ก็วงแดงจุดที่ต้องแก้ไขมาเต็มเพียบ !@#$%)

สรุปคือแค้นที่ถูกกล่าวหาทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ผิด

เจ็บใจ เจ็บใจ เจ็บใจ!

โกรธตัวเองนะ ที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ หลังจากนั้นเลยคิดไว้ว่าต่อไปนี้จะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างใครอีกแล้ว ตั้งใจไว้ว่า ต่อไปนี้ ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกจงเหยียบคันเร่งพุ่งไปข้างหน้าให้ถึงที่สุด ไล่บี้ให้ราบเป็นหน้ากลองแบบไม่ต้องเหยียบเบรคเลย

ต่อมา ก็ได้มีประสบการณ์ในมุมกลับ....

คือในบอร์ดมีคนตั้งกระทู้เหมือนกันเปี๊ยบ 2 กระทู้ในเวลาที่ห่างกันหลายชั่วโมง เราก็คงประมาณว่าเข้าไปตำหนิในฐานะผู้ดูและเว็บบอร์ด แล้วเจ้าตัวก็ออกมาบอกว่า ไม่ได้เจตนา สงสัยเผลอกด refresh

เราก็....อะไรวะ รีเฟรชบ้าอะไรห่างกันหลายชั่วโมง เชื่อไม่ได้ (ถ้ามันห่างกันแค่ไม่กี่นาทีคงเชื่อทันทีอ่ะ) เลยไปลองดู ว่าโพสต์กระทู้แล้วกด refresh browser มันจะปั๊มกระทู้ซ้ำหรือเปล่า ปรากฏว่าลองแล้วไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ ก็เลยกลับไปตอบว่าคุณคนนั้น ประมาณว่า โกหก ทีหลังจะแก้ตัวก็ขอให้เนียน ๆ หน่อย อะไรทำนองนี้....

จำไม่ได้ละว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เดาว่าเค้าคงออกมาตอบว่าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้เจตนาจริง ๆ

ตอนหลังพอได้ไปถามเพื่อนอีกคนที่เป็นพวกโปรแกรมเมอร์ เค้าบอกว่าเป็นไปได้ที่จะเกิดแบบนั้น แต่ browser ต้องมีการส่งดาต้าซ้ำ

เราก็เลยไปลองใหม่ ลองใหม่ ลองใหม่

ในที่สุดมันก็เกิดเหตุการณ์ปั๊มกระทู้ซ้ำขึ้นมา!

เอาล่ะสิ.... กล่าวหาคนอื่นว่าโกหกไปแล้ว แล้วมันกลายเป็นการกล่าวหาแบบผิด ๆ ทั้ง ๆ ที่เราพยายามพิสูจน์แล้ว และพบว่าข้ออ้างของเขานั้นฟังไม่ขึ้น.... แต่สุดท้ายของท้ายสุดแล้ว มันกลับเป็นไปได้!

ทำไงอ่ะ....

จำความรู้สึกได้แม่นเลยว่าตอนนั้นหน้าชาไปหมด รู้สึกเสียหน้า ขายหน้า แล้วก็อายมาก ๆ แล้ววูบต่อมาก็เสียใจ ว่าเราไปว่าเค้าแรง ๆ แบบนั้น เค้าจะรู้สึกยังไง.... แถมมันเป็นการว่าซึ่งหน้า ในที่สาธารณะ สมาชิกคนอื่น ๆ เปิดกระทู้มาเห็นไม่รู้กี่คนแล้ว!!! ชื่อเค้าคงเน่าเป็นไกลแล้ว เพราะถูกตราหน้าว่าโกหกตอแหล

สุดท้ายเราก็ตั้งกระทู้ประกาศ เพื่อขอโทษเค้าอย่างเป็นทางการ รับผิดทุกประการ และขอโทษที่เชื่อหลักฐานทางเทคโนโลยี(การทดลองกด refresh)มากกว่าเชื่อสมาชิก (แต่เราก็ยังไม่วายรักษาหน้าตัวเองด้วยการบอกว่า เออทีหลังใครกด refresh แล้วอย่าไปเผลอกดปุ่ม resend นะ ไม่งั้นมันจะมีการโพสต์ซ้ำเกิดขึ้น <<< แอบขอความเห็นใจว่า ตูไม่ผิดทั้งหมด มันเป็นความผิดพลาดทางเทคโนโลยี =_=;; เนียนมั้ยตู) ก็รู้สึกดีขึ้นและขายหน้าน้อยลง เมื่อผู้ถูกกล่าหาเขามาลงชื่อรับทราบ และบอกว่าให้อภัย



เออ... ร่ายมาซะยาว สรุปว่าไม่อยากฟันธงว่าใครโกหก

เพราะเรื่องบางเรื่องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่มันอยู่ในจิตใจ มีแต่คนพูดเท่านั้นที่จะรู้ว่าตัวเองพูดจริงหรือโกหก เพราะไม่มีใครอยู่ร่วมในเหตุการณ์เดียวกันด้วย และก็ไม่สามารถย้อนเวลาหรือย้อนสถานที่กลับไปในที่นั้น ๆ ณ วินาทีนั้น เพื่อพิสูจน์ด้วยตาตนเองได้ (เรื่องบางเรื่องต่อให้พยายาม"ทำซ้ำ" แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า ผลลัพธ์จะออกมาเหมือนครั้งแรก)


แต่ถ้าถามต่อ ว่า.... ถ้าคิดว่าเค้าพูดจริง ไม่ได้โกหกแล้วทำไมไม่ช่วยเค้า?

ก็ อย่างที่บอกไปในกระทู้อื่น ๆ หลายกระทู้ มันอยู่ที่พฤติกรรมค่ะ เรื่องโกหก/ไม่โกหก พูดจริง/พูดเว่อร์ มันไม่มีความหมายแล้วล่ะในบัดนี้

คนเรามีหลายด้านค่ะ และไม่ได้มีแต่ด้านดี แต่การจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสะดวกใจนั้น นอกจากจะชอบข้อดีของเพื่อนแล้ว เรายังต้องสามารถยอมรับ(หรือทนได้)กับข้อเสียของเพื่อนด้วย ถ้าข้อดีบางข้อของเพื่อน ไม่อาจโน้มน้าวให้เราอภัยหรือยอมรับข้อเสียของเขา ก็คงเป็นสิทธิ์ของเราที่จะตีตัวออกห่าง หรือถ้าเราอยากแนะนำให้เขาแก้ไขข้อเสียซะ ก็ย่อมทำได้เช่นกัน ส่วนเขาจะทำตามหรือไม่ ทำสำเร็จมากน้อยแค่ไหน และเราจะยอมรับในความพยายามนั้น ยอมอนุโลมผ่อนผันการแก้ไขพฤติกรรมนั้น ๆ และอภัยให้ความผิดในอดีตหรือไม่ ก็อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น

แต่เท่าที่ดูกระแสตอนนี้ สมาชิกทั้งหลายไม่ว่าจะทีมนักสือหรือคนมุง ดูจะไม่พอใจกับ"พฤติกรรมที่แสดงออกในระหว่างถูกซักฟอก" มากกว่าเรื่องที่กำลังซักฟอกกันเสียอีก

Friday, May 15, 2009

คอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นมากกว่าคอลเซ็นเตอร์

คราวก่อนบ่นเรื่องพวกจิตไม่ว่างโทรป่วนคอลเซ็นเตอร์ไปแล้ว หนนี้ขอพูดถึงคนที่พึ่งพิงคอลเซ็นเตอร์จริง ๆ จัง ๆ ในเรื่องคอขาดบาดตายบ้าง....

จากกระทู้ Pantip ตั้งโดยคุณ cookiecompany
--> เกือบทิ้งชีวิตไว้ที่ป่าริมทะเลสาบข้างภูเขาฟูจิเมื่อคืน........ ทำให้เห็นว่า คนเราเมื่อถึงคราวคับขันแล้วล่ะก็ ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ศูนย์รับโทรศัพท์ ซึ่งอยู่ห่างไกลหลายร้อยกิโลเมตร ก็ช่วยให้อุ่นใจ และช่วยให้"รอดตัว"จากปัญหาเฉพาะหน้าได้

จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่า คอลเซ็นเตอร์ ไม่ได้มีหน้าที่หรือความสำคัญเพียงแค่รับโทรศัพท์จากลูกค้า พวกเขาหรือพวกเธอเป็นที่พึ่งในยามยาก ในยามเข้าตาจน ของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการได้ในสถานการณ์มากมายหลายแบบ

จากที่คุณ cookiecompany บรรยายไว้ว่า ทางคอลเซ็นเตอร์อึ้งไปชั่วขณะตอนที่เขาบอกว่าหลงทางอยู่ในป่าริมทะเลสาปภูเขาไฟฟูจิ ก็ชี้ชัดว่าพนักงานคอลเซ็นเตอร์ (ที่ปรกติต่อให้โดนโทรป่วน ก็ยังทำน้ำเสียงราบเรียบและอ่อนหวานอยู่ตลอดเวลา) ก็ถูกอารมณ์และความรู้สึกตกใจ หวาดกลัว หรือหวาดหวั่นจู่โจมได้เหมือนกัน (แหงสิยะ ก็คนเหมือนกันนี่!) และแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นหรือได้ยิน ว่าเธอคนนั้นช่วยเหลือจขกท.อย่างไรบ้าง แต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องสุดความสามารถของเธอแน่ ๆ (ถ้าไปแอบดูตอนนั้น เธออาจจะลนลาน เลิ่กลั่ก เหงื่อแตกเต็มหน้าก็ได้) จึงได้ประสานงานได้รวดเร็วแม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ

แต่อารมณ์หรือจิตใจของเธอล่ะ?

แหมถ้าเป็นเรา มีลูกค้าโทรมาเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น ต้องตื่นเต้นตกใจจนสั่นแน่ ๆ

มีอย่างที่ไหน.... ดึก ๆ ดื่น ๆ ลูกค้าโทรมา บอกหลงทางกลางป่าอยู่ต่างประเทศ แถมแบตก็จะหมด วุ้ย ถ้าเป็นเราคงกลัวแทน ดีไม่ดีอาจจะคิดอะไรไม่ออก

เออแต่จากที่อ่านกระทู้ เธอคนนั้นก็ดูจะงุนงงและตกใจจนคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน เลยได้แต่ถามว่า จะให้ทางเราช่วยเหลืออะไรได้บ้างคะ ดีนะที่คุณคุกกี้แกมีสติดี เลยขอให้ทางคอลเซ็นเตอร์ติดต่อฟร้อนท์โรงแรมให้ คือถ้าเป็นเรานะ ณ วินาทีนั้นคงนึกไม่ออกหรอกว่าคอลเซ็นเตอร์จะช่วยอะไรเราได้บ้าง =_=;;

และทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

เรื่องหนนี้อยากปลอบและบอกว่า "โอ๋ ๆ ๆ ขวัญเอ๋ยขวัญมา" กับทั้งคุณ cookiecompany ผู้ประสบเหตุ และคุณอมราภรณ์ผู้รับเรื่องเลยล่ะ

เรื่องนี้น่าจะใช้เป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์ได้ว่า คอลเซ็นเตอร์มีไว้ช่วยเหลือลูกค้า ไม่ได้มีไว้ป่วนเล่น และคอลเซ็นเตอร์สามารถช่วยเหลือลูกค้าได้จริง ๆ ไม่ได้มีไว้ทำโก้ทำหรูเฉย ๆ !!!

ใครชอบกลั่นแกล้งพนักงานคอลเซ็นเตอร์พึงสังวรณ์ไว้ด้วย บริษัทต่าง ๆ ให้อำนาจคุณ (ลูกค้า) ในการโทรศัพท์ไปโวยวาย ร้องเรียน ฟ้อง หรือขอความช่วยเหลือจากคอลเซ็นเตอร์ได้ ก็จงใช้อำนาจนั้นในทางที่ก่อประโยชน์ ไม่ใช่ใช้อำนาจไปในทางที่ผิด

อย่าลืมว่าพนักงานคอลเซ็นเตอร์ก็เป็นคน เป็นมนุษย์เหมือนกันเรา เราก็ควรจะให้เกียรติเขาด้วย