Sunday, June 28, 2009

คำแนะนำเชิงบวก เชิงลบ

ไปมุงกระทู้นี้มา
การแปลเมนูอาหารภาษาอังกฤษ (น่ากลัวมาก) - 0 -
http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D8008332/D8008332.html

ก็ขำอ่ะ ขำจนน้ำตาเล็ดเลย หลาย ๆ อย่างมันแบบว่า "คิดได้ไง" หรือไม่ก็ "โอ๊ย ทำไปได้!" แล้วพออ่านเลื่อน ๆ ลงมาดู ก็สะดุดกับความเห็นหนึ่ง ที่พูดประมาณว่า "มันจะสร้างสรรค์กว่ามั้ย ถ้าเอาเวลามาช่วยบอกคำแปลที่ถูกต้องเอาไว้ แทนที่จะมานั่งหัวเราะกัน" กับอีกคนบอกประมาณว่า ที่เราหัวเราะกันเนี่ยก็เหมือนว่าคนเขียนเมนู เหมือนห้ามว่าถ้าพูดผิดก็อย่าพูด แบบนี้ใครจะกล้าพูดกล้าฝึก บลา ๆ ๆ

โถ.... คิดไกลเหลือเกิน

แถมยังใช้คำพูดสะกิดเชิงลบอีกต่างหาก อ่านแล้วไม่ชวนให้คล้อยตามเลยขอบอก

หนึ่งคือ กระทู้นี้เจ้าของกระทู้เจอ fwd mail ที่มีรูปเมนูที่แปลผิดทำนองว่าซับนรก เลยเอามาแชร์กันให้ขำเฉย ๆ เจ้าของกระทู้ไม่ได้เป็นคนเขียน และไม่ได้มาขอคำแนะนำ ย่อมไม่แปลกที่คนอ่านและคนตอบจะเน้นไปทางฮาและขำ และไม่มีใครแนะนำ

ถ้าเจ้าของกระทู้ลองบอกว่า ผมแปลได้แค่นี้ แต่อยากได้คำแนะนำว่าถูกผิดยังไง ใครรู้ช่วยแก้ไขที มีหรือคนเค้าจะหัวเราะ จะมีแต่คนช่วยน่ะสิ

สองคือ ถ้าอยากให้คนอ่านหรือคนตอบคนอื่น ๆ ช่วยกันแนะนำคำที่ถูกต้อง มันไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดที่ตัดพ้อแบบนี้ เพราะมันอ่านแล้วมี negative tone เหมือนตำหนิคนอื่นก่อนแล้วค่อยขอความช่วยเหลือ เหมือนกล่าวหาว่าเค้าแล้งน้ำใจ ดูดาย ไม่ช่วยเหลือคนอื่น แบบนี้คนบางคน (เช่น คนหัวดื้อแบบเรา) อาจจะรู้สึกไม่อยากช่วยขึ้นมา

สมมตินะ

ถ้ามีเพื่อนเอารูปมาให้ดู แล้วบอกว่า เป็นไง รูปชั้น วาดดีหรือยัง แกชอบป่ะ
เราตอบว่า ไม่ดี ไม่สวย ไม่ชอบ
เพื่อนงอน แล้วบอกว่า "มันจะสร้างสรรค์กว่าป่ะ ถ้าแกแนะนำเราว่าควรแก้ไขตรงไหน แทนที่จะว่าว่าไม่สวย ไม่ชอบ"

เออ ก็เอ็งไม่ได้บอกว่าต้องการคำแนะนำ แล้วตูจะรู้ได้ไง....

คำพูดชวนปีนเกลียวมากเจ้าค่ะ

คำพูดนี้ยังทำให้เป็นเชิงบวกได้ ด้วยการบอกว่า
"อ้าวเหรอ ยังไม่ดีเหรอ มีตรงไหนที่ชั้นควรแก้บ้าง ลองแนะนำหน่อยดิ"

สำหรับเรา เราคิดว่าการที่จะให้คนอื่นช่วยเหลืออะไร หรือเวลาเราจะขอความร่วมมือจากเค้า หรือแม้แต่จะแนะนำอะไรที่มีประโยชน์ให้คนอื่นทำตาม เราควรจะใช้คำพูดในเชิงบวก ซึ่งนอกจากจะเป็นการถนอมน้ำใจอีกฝ่ายแล้ว ยังจะทำให้เค้ามีแนวโน้มที่จะให้ความร่วมมือมากขึ้นด้วย

ยกตัวอย่าง

คุณพ่อคนหนึ่งยกของหนัก ลูกชายนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ช่วยอะไร เพราะพ่อไม่ได้เรียกให้ช่วย
คุณแม่เดินมาเห็นเข้า ก็บอกว่า
Choice 1.
"เป็นง่อยเหรอ เห็นพ่อยกของหนักทำไมไม่รู้จักช่วย"

Choice 2.
"เฮ้อ บ้านคงน่าอยู่กว่านี้ ถ้าลูกรู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือพ่อบ้าง"

Choice 3.
"อ้าว ลูกอยู่ตรงนี้เหรอ พ่อยกของหนักน่ะ ช่วยหน่อยสิลูก"

แบบไหนที่ชวนให้ลูกคล้อยตามได้มากกว่ากัน?

หรืออีกตัวอย่าง...

เพื่อนกำลังทำงานศิลปะอยู่ แล้วเราไปเห็นเข้า รู้สึกคันปากอยากบอกให้เพื่อนแก้งาน

Choice 1.
"อี๋ แกลงสียังไงนั่นน่ะ น่าเกลียดเชียว ใช้ไม่ได้เลย เปลี่ยนเป็นสีนี้ดีกว่านะ"

Choice 2.
"โห นี่สาบานนะว่าใช้มือทำ ทำได้แค่เนี้ยเหรอ ทำไมไม่ทำแบบนี้ ๆ ๆ"

Choice 3.
"เออนี่ เราว่าสีตรงนี้มันจัดไปหน่อยนะ ลองลดให้อ่อนลงน่าจะดี หรือลองสีนี้เป็นไง"

แบบที่ 3 เพื่อนน่าจะรับฟังได้มากกว่า ส่วนอีก 2 แบบ ปากคนพูดอาจจะมีสี(แดง)เสียเอง


จะเห็นได้ว่าการไม่ได้ขอร้องหรือสั่งโดยตรง แต่ใช้คำพูดต่อว่าซึ่งหน้าในเชิงตำหนิ มันชวนให้โมโหมากกว่าชวนให้ทำตาม หรือถึงไม่ต่อว่าซึ่งหน้า แต่เปรยลอย ๆ เสียดสีในเชิงลบให้กระทบหู ก็ชวนให้ขัดเคืองใจอยู่ดี สู้ขอหรือบอกไปตรง ๆ เลยว่าต้องการให้ช่วย ยังน่าจะได้ผลดีกว่า

กระทู้นั้นก็เหมือนกัน ถ้าอยากให้คนอื่นแนะนำ ก็น่าจะบอกไปตรง ๆ เลยว่า "ผมอยากให้เพื่อน ๆ ช่วยกันแนะนำครับ ว่าควรแปลอย่างไรบ้าง เผื่อจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ ต่อไป" หรือ "ฉันอยากรู้ค่ะว่าควรใช้คำว่าอะไรบ้างถึงจะถูก เพราะเป็นคนอ่อนภาษาอังกฤษ" แค่นี้คงพูดไม่ยาก.... แต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องเกริ่นนำในเชิงตำหนิคนอื่นก่อน

คนประเภทโคนันทวิสารมีอยู่มากมายนัก การเลือกใช้คำให้เป็นเชิงบวกจึงเป็นสิ่งสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะการพูดดี ย่อมเป็นผลดีกับทั้งคนพูดและคนฟัง

Sunday, June 21, 2009

ก็น้องเสือกต่อคิวช้าเอง

*update*
คุณหนุ่ยกลับมาตอบและชี้แจงเรื่องคำตอบที่ไม่เหมาะสมนี้แล้ว และเรา ในฐานะที่เป็นแค่คนอ่าน ไม่ได้เป็นคนโดนว่า รู้สึกว่ายอมรับได้ และไม่ค้างคาใจแล้วค่ะ

--------------------------------------------

อึ้ง.......

สมองปั่นป่วน

งง.......

เค้าพูด(พิมพ์)แบบนี้ออกมาเลยเหรอ???

ทำไม เราถึงเสียใจขนาดนี้.... เมื่อวานนี้เรายังสนุกอยู่เลย แล้วยังรู้สึกดี ๆ อยู่จนถึงเมื่อกี้ แต่ข้อความที่เราเห็นทำให้หัวใจที่พองโตของเราฟีบลงไปทันที

อยากตอบ แต่ไม่กล้า

สงสารเค้ามั้ง....
คิดว่าเค้าคงจะเหนื่อย และหงุดหงิดตามประสาคนที่เครียดและอ่อนเพลียกับงานใหญ่ หรือไม่ก็ เราก็ไม่อยากเชื่อว่าที่มาเขียนแบบนั้นคือตัวจริง

สุดท้ายคิดไปคิดมาก็ไม่ตอบดีกว่า เดี๋ยวจะบั่นทอนกำลังใจใครเขาเปล่า ๆ

เอ หรือที่จริงแล้วเราอยากหลอกตัวเองว่าเค้าไม่ได้เจตนาเขียนแบบนั้น เลยไม่อยากแสดงตนว่ารู้เห็น

โอย เศร้า....

คิดวนไปวนมา....
ถ้าเป็นมิตรกันจริงควรติเตียนและตักเตือนใช่ไหม??

แต่เราไม่ได้สนิทกับเค้า แถมยังเด็กกว่า (น่าจะ) จะไปพูดอะไรในที่สาธารณะอย่างข่าวในเว็บแบบนั้นเค้าก็จะเสียหน้า

ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี

เรารู้สึกดี ๆ กับงาน ประทับใจ ชอบ ชื่นชม
ความรู้สึกเหล่านั้นมันคงไม่เปลี่ยนไป

เพียงแต่ตอนนี้มีอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมา นั่นคือ รู้สึกว่าเค้าใจร้าย และไม่ถนอมน้ำใจคนอื่น แม้แต่ลูกค้าที่อุดหนุนซื้อตั๋วของเค้า

เสียใจอ่ะ....

ที่พิมพ์ไว้ว่าจะตอบ อยากตอบ ก็ไม่ได้กดตอบไป เก็บมาแปะแอบซ่อนไว้ในมุมมืดแห่งหนึ่งแทนก็แล้วกัน

-------------------------------------------------------

แรงไปมั้งคะ....
อ่านแล้วสะอึกเลยนะเนี่ย

ก็ เพราะคนต่อคิว เค้าเชื่อฟังสต๊าฟงาน พอสต๊าฟบอกให้ตั้งแถว เค้าก็ยอมต่อคิว แบบไม่เบียด ไม่แซง แถวยาวเป็นงูเลื้อยลงไปถึงชั้นล่าง ก็ต่อแถวอย่างมีระเบียบไม่ใช่หรือคะ ทำให้ต้องเกิดมีคนที่โชคไม่ดีไปอยู่ท้ายแถวขึ้น จนไม่ได้ลายเซ็น
จะไปว่าว่าเขาเจือกต่อแถวช้าเองแบบนี้มันไม่ถูกนะคะ

หรือ ว่าออพชั่นที่ดีกว่าคือดื้อด้าน ไม่ต่อแถว ไม่ทำตามที่สต๊าฟขอ แล้วก็ไปเบียด ๆ แซง ๆ คนอื่น เพื่อขึ้นไปอยู่ข้างหน้า เพื่อให้ได้ลายเซ็นคะ?

ไม่จริงใช่มั้ยคะ?

คุณหนุ่ยเคยบอกว่า คำบางคำ บางประโยคมันทำร้ายจิตใจคนเรา ทำลายกำลังใจคนเราได้ เพราะคุณหนุ่ยเองก็เคยโดนมา ใช่หรือไม่คะ? แล้วทำไมยังใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นได้แบบนี้ล่ะคะ?

คนนี้เค้าก็แค่บอกเล่า ไม่ได้เอะอะโวยวายหรือต่อว่า ด่าทอสต๊าฟนะคะ
ก็แค่เล่าให้ฟัง ว่าไม่ได้ลายเซ็น เพราะโดนกันให้ออก
แบบนี้แค่คุณหนุ่ยชี้แจงดี ๆ ด้วยเหตุผลก็พอมั้งคะ

ส่วน เรื่องกติกงกติกาอะไรนั่น ถ้ามีก็ต้องเคารพกติกาค่ะ แต่พอดีเราเองไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีกติกาแบบนี้ (หรื่องกำหนดเวลา) ก็เลยไม่ทราบว่าทุกคนได้รับทราบกติกากันทั่วถึงแล้วหรือยัง การที่คาดหวัง แล้วผิดหวัง เป็นความผิดของคนหวังเอง ที่ไม่รู้ล่วงหน้าใช่หรือไม่?

คราวก่อนที่งาน TGS ทางสต๊าฟก็เข้ามาปิดท้ายแถวนี่คะ ว่า ตัดแถวแค่นี้นะครับ หลังจากนี้ไม่ให้ต่อแถวแล้ว จบ พอ ให้ศิลปินได้พัก
ถ้า รู้ล่วงหน้าแบบนี้ กั้นท้ายแถวไปเลยแบบนี้ มันเห็น ๆ อยู่แล้วอ่ะค่ะว่าเหตุผลเป็นยังไง ทุกคนก็คงจะทำตามโดยไม่บ่นไม่งอแง และที่สำคัญคือไม่เสียความรู้สึก

ถ้าจะให้หยุดตามที่กติกากำหนด น่าจะแจ้งให้ทราบโดนทั่วถึงนะคะ จะได้ไม่มีใครบ่น และจะได้ไม่มีใครเข้าแถวให้เมื่อยเสียเที่ยว
เพราะถ้าเป็นเรา ลองเข้าแถวเป็นชั่วโมง ๆ แล้วสุดท้ายไม่ได้ลายเซ็นตามที่นึกฝันว่าจะได้ ก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดาค่ะ

อ่านความเห็นของคุณหนุ่ยแล้ว เจ็บในหัวอกจริง ๆ เลย....
(ขนาดว่าเราได้ลายเซ็นนะ ไม่ได้โดนตัดออกเพราะหมดเวลาอย่างคนที่คุณหนุ่ยว่า)

เข้าใจค่ะว่าเหนื่อย เจอคนบ่นก็คงอารมณ์ไม่ดี
แต่เรื่องแบบนี้ชี้แจงกันดี ๆ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดจะดีกว่ากับทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือคะ?

Tuesday, June 16, 2009

เชิดชูหรือหยามเหยียด?

คำจำกัดความ.... ที่มีใครสักคน หรือหลาย ๆ คน (หรือ....คนหลาย ๆ กลุ่ม) บัญญัติขึ้น และใช้เรียกตนเองหรือผู้อื่น มันช่างวุ่นวายซับซ้อนจริง ๆ

ช่วงนี้ก็มีประเด็นร้อนว่าด้วยคำว่า โอตาคุ (Otaku) อยู่ในบอร์ด

เอ่อ ที่จริงมันก็มีกระทู้เรื่องคำว่าโอตาคุอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ตัวคำศัพท์ คำว่า "โอตาคุ" หรือวิจารณ์ตัวบุคคล ที่ถูกขนานนามว่าโอตาคุ

แต่หนนี้ดูเหมือนมันจะวุ่นและร้อนกว่าเดิม เพราะเป็นกระทู้ของดันไบน์ยอดนักกิน (เอ๊ะ เหมือนจะไม่เกี่ยว?)

คือมันฮ็อตเพราะกระทู้ดูมีความเกี่ยวเนื่องกับอีกกระทู้นึงใน pantip

ส่วนตัวแล้วสำหรับกระทู้โหวตของดันไบน์เรื่องความหมายของคำว่าโอตาคุ.... เรารู้สึกว่า

- เป็นคำที่คนไทยนำมาใช้เกร่อเกินไป (แอบเบื่อเป็นการส่วนตัว ว่างั้นเถอะ ฮ่า ๆ)
- เป็นคำที่คนหลายคนเพิกเฉยต่อความหมายดั้งเดิมในภาษาต้นฉบับ แล้วนำมาใช้แบบหลงผิดอยู่มาก
- เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เป็น brand name เพื่อการโฆษณามากเกินไป
- เป็นคำที่บางคนหลงคิดว่าโก้ เท่ เจ๋ง และใช้เรียกตนเองหรือคนอื่นอย่างเชิดชู (จะบอกว่าเห็นแล้วหมั่นไส้ ก็คงใช่)
- เป็นคำที่หลาย ๆ ครั้ง หรือหลาย ๆ บริบท ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่ก็ยังดั๊นนนมีคนเอามาใช้

อาจจะหัวโบราณ หรือเชยไปหน่อย แต่บางทีเห็นแล้วก็ข้องใจว่า ทำไมต้องโอตาคุ? ใช้คำว่าแฟนคลับ แฟนเพลง แฟนอนิเม คอเพลง คอการ์ตูน ไม่ได้เหรอ? หรือว่าคำญี่ปุ่นมันโก้หรูหว่า โจ๋กว่า? เลยใช้คำไทยหรืออังกฤษแล้วไม่รู้สึกว่า "เพียงพอ"

บางคนอาจจะบอกว่าอ้าว ก็สมัยนี้สังคมเปิดกว้างแล้ว คำมันเลยเริ่มเปลี่ยนความหมายไป คนบางกลุ่มเริ่มยอมรับได้ ไม่ถือว่ามันเป็นคำแง่ลบแล้ว


อืม แต่ว่า "คนบางกลุ่ม" นั่นก็ไม่ใช่ "สังคมทั่วไป" อยู่ดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องพยายามตะเกียกตะกายไปใช้คำที่มีเพียงคนจำนวนไม่มากที่เข้าใจตรงกับเรา หรือมองคำนี้ว่ามีความหมายแบบเดียวกับที่เราต้องการด้วยล่ะ? เพราะถ้าเป็นตัวเราเอง เราเลือกใช้คำที่เข้าใจตรงกันเป็นส่วนใหญ่มากกว่า หรือไม่ก็เลือกคำที่สื่อความหมายตรงกับที่สังคมวงกว้างใช้กันมานานแล้ว ไม่ใช่ไปเลือกคำที่ความหมายเพิ่งกลายพันธุ์ไปมาใช้แทน เพราะบางคน(และน่าจะมีจำนวนมาก)เขาไม่ได้อัพเดทข้อมูลบ่อย ๆ ขนาดนั้น.... ทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารให้เข้าใจความหมายมันยิ่งลดลงไปอีกโดยใช่เหตุ จริงไหม?

จะว่าเป็นพวกขวางโลกก็ได้ แต่เราเองมักจะไม่เห็นด้วยกับการตามกระแส ตามแฟชั่น (โดยเฉพาะการตามแบบเฮตามคนอื่นไปเรื่อย โดยที่ไม่ได้ดูความเหมาะสม) ก็เลยทำให้รู้สึกคิ้วกระตุก ๆ เวลามีใครมาเที่ยวเรียกคนนู้นคนนี้(แบบเชิดชู)ว่าเป็นโอตาคุ แจ๋ว เจ๋ง แน่....

แล้วก็อย่างที่เคยเขียนไว้ในบล็อกอีกหน้า เรื่อง คำก็โอตาคุ สองคำก็โอตาคุ ว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งแยกขนาดนั้น เพราะขอโทษนะ จำต้องพูดตามความสัตย์จริง ว่าเท่าที่เห็นตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ ในปัจจุบันเนี่ย คนที่แบ่งแยก คือคนที่แบ่งแยกแบบเชิดชูความเป็นโอตาคุ มากกว่าคนที่แบ่งแยกเพราะหยามเหยียด

ถ้าไม่อยากถูกมองว่าแปลกแยก แล้วเราจะแบ่งกลุ่มตัวเองออกไปทำไมล่ะเนี่ย?

ถ้าภูมิใจที่ได้เป็น "อะไร" ที่เรานิยามไว้สวยหรูเองแล้ว จะแคร์ทำไมว่าคนอื่นมองคำ "นิยาม" นั้นว่าอย่างไร?

ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ใช่หรือไม่?

ถ้ากลัวไฟแล้วไซร้ย่อมสำแดงว่าเป็นทองไม่แท้?!

คือคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร จะไม่ชอบ จะมองแง่ลบ หรือจะมีอคติกับคำว่าโอตาคุ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาถ้าเราเป็นคนเอาตัวไปผูกอยู่กับคำว่าโอตาคุเอง

แต่ที่จริง.... ถ้าคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าโอตาคุไม่ดีอย่างงู้นอย่างงี้ เช่น ไม่เอาสังคม ไม่มีสามัญสำนึก พูดจาไม่รู้เรื่อง วัน ๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรก ..... เช่นนั้นแล้ว ใครที่ยังพูดรู้เรื่อง มีสามัญสำนึกดีอยู่ ยังมีสังคมภายนอก หรือไม่ได้หมกมุ่นจนเกินเหตุ ก็ย่อมไม่เข้าข่ายโอตาคุในสายตาของผู้วิจารณ์กลุ่มนั้น ดังนั้นจะมาร้องแรกแหกกระเชอ ว่าคนกลุ่มนั้นวิจารณ์เราเสีย ๆ หาย ๆ หรืออคติ เหยียดหยามเรา รังเกียจเรา แบ่งแยกเรา มันก็ไม่ถูกละ เพราะตัวเองไม่ใช่ ไม่ได้เข้าข่ายที่เขาวิจารณ์เสียหน่อย!

แต่ถ้าคุณเอาตัวเองไปผูก ไปยึดติดไว้กับคำว่าโอตาคุ โดยไม่สนใจ "คุณสมบัติ" ที่คนอื่นเขานิยามให้ ก็กลายเป็นว่าไม่ว่าเขาจะว่าอะไรร้าย ๆ ก็เข้าตัวคุณหมด?!

ถ้าคุณสมบัติของเราไม่เข้าข่าย ไม่สมควรโดนรังเกียจ ก็อย่าเอาตัวเองไปผูกติดกับมันสิคะ

อ้อ แล้วก็อย่าลืมว่า อคติ มี 4 ประเภท

1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก หรือชอบ
2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ หรือเกลียด
3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงผิด หรือไม่รู้ ไม่พิจารณา
4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะเกรงอิทธิพล กลัวเสียผลประโยชน์ หรือกลัวเสียชื่อ

อคติจึงไม่ได้มาจากฝ่ายที่ "ไม่ชอบ" เท่านั้นเสมอไป

สรุปอีกครั้ง Final word... ความเห็นส่วนตัวนะคะ

คนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร จะไม่ชอบ จะมองแง่ลบ จะเลือกแปลแต่ความหมายด้านร้าย หรือจะโทสาคติกับคำว่าโอตาคุ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าเราน่ะแหละที่เป็นคนเอาตัวของเราไปผูกอยู่กับคำว่าโอตาคุเอง

Saturday, June 13, 2009

ซ้ำเติม?

โอ๊ยเบื่อค่ะ คนที่ชอบทำตัวเป็นพ่อพระแม่พระ แล้วบอกว่า "พอเถอะ ใครถูกใครผิดก็อย่าพูดถึงเลย" หรือ "จะไปตำหนิเขาทำไม ซ้ำเติมกันชัด ๆ"

กระแดะค่ะ

โปรดทราบนะคะ คนเราเวลาเกิดปัญหาหรือก่อปัญหาขึ้นมาแล้ว ย่อมต้องมีการพยายามจะแก้ไข แล้วถ้าไม่ขุดให้ลงไปถึงรากของปัญหา ไม่พินิจวิเคราะห์ว่าทำไม เพราะอะไร เหตุใด ปัญหาจึงเกิดขึ้น แล้วเมื่อไหร่มันจะแก้ปัญหาได้ล่ะคะ?

การที่คนอื่นวิจารณ์ด้วยเหตุผล (และข้อเท็จจริง) ว่าเราทำอะไรผิด เราไม่ควรทำอะไร ตำหนิเรา ติเตียนเรา ตักเตือนเรา ไม่ได้หมายความว่าเค้าต้องการซ้ำเติมให้เราล้มแล้วลุกไม่ขึ้น

แต่เค้าอยากให้เมื่อเราลุกได้แล้ว เราจะไม่ล้มอีหรอบเดิม ๆ อีกต่างหาก!

ถ้าไม่รับฟังคำวิจารณ์ ปิดหู ปิดตา มองข้ามความจริงอันโหดร้าย (ที่คนอื่นเอามาประเคนให้) แล้วหันไปฟัง ไปซุกอ้อนอยู่แต่กับกลุ่มคนที่ปลอบใจเรา โอ๋เรา เข้าใจเรา และไม่เค้ยไม่เคยที่จะตำหนิเราเลย....คนเราจะเติบใหญ่ได้หรือคะ?

จะเติบโตได้ต้องรับไว้ทั้งการชมเชยและการติเตียน

การชมเชยมีไว้เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันเมื่อเราทำดี ทำถูก ทำสำเร็จ จะได้มีพลังในการทำสิ่งอื่นที่ดีต่อ ๆ ไป

การติเตียนมีไว้เพื่อสั่งสอนเราให้หลาบจำ ว่าอะไรไม่ควร อะไรที่ทำให้เราพลาด เพื่อที่ในอนาคตเราจะได้ไม่ทำพลาดซ้ำอีก

เด็กที่เลือกกินแต่อาหารที่มีรสชาติดี อาหารที่ตนชอบ กินขนมหวานเพราะอร่อย โดยไม่ยอมกินผักที่ขม ๆ หรือปลาที่คาว ๆ ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์แค่เพราะคิดว่ามันไม่อร่อย ย่อมโตมาเป็นเด็กสุขภาพไม่แข็งแรง และอาจจะขาดสารอาหารด้วย

ชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เปรียบได้เช่นนั้นแหละค่ะ

คนเราไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดพลาด แต่คนที่ผิดพลาดแล้วต่างหาก ที่ต้องเลือกว่าเราจะยอมรับความจริง ยอมรับความผิดพลาดของเรา แล้วน้อมรับฟังความคิดเห็น คำวิจารณ์ คำตำหนิติเตียนไว้ เพื่อนำมาเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงตนเองหรือสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นหรือไม่

ใช่ค่ะอดีตแก้ไขไม่ได้

พูดไปตอนนี้ (หลังจากเกิดความเสียหาย ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว) ก็ไม่ได้ช่วยให้อดีตดีขึ้น และไม่ได้ช่วยให้ปัญหาหายไป

แต่ก็เพราะว่าคนเราแก้ไขอดีตไม่ได้น่ะสิคะ ถึงต้องมีการวิจารณ์เกิดขึ้น!

เพื่อนำมาปฏิบัติในปัจจุบัน และส่งเสริมอนาคตให้ดีกว่าอดีต!!!!

ถ้ามีใครติเพื่อก่อ ให้เหตุผลตามความเป็นจริง พูดเรื่องจริง ต่อให้มันทิ่มแทง เสียดแทงใจคุณ แต่ในเมื่อคุณทำผิดจริง ๆ คุณก็ควรจะรับมันไว้ และนำมาปรับปรุงตนเองต่อไป

แต่ที่แย่สำหรับผู้ทำผิดพลาด บางครั้งก็ไม่ใช่ตัวเอง แต่อาจเป็นคนรอบข้างที่โอ๋จนเกินเหตุ พอมีใครมาบอกความจริง มาวิจารณ์ตรง ๆ มาติเตียน ก็ตั้งป้อมต่อว่า หาว่าคนอื่นซ้ำเติม เหยียบย่ำ แล้วคนโอ๋ก็ช่วยกันปิดหูปิดตา โอบอุ้มคนผิดพลาดให้อยู่ในโลกจอมปลอมของการปลอบใจต่อไป

ถ้ามีแต่คนมาชี้ด่า หาว่าเหยียบย่ำ ซ้ำเติม อีกหน่อยก็จะไม่มีใครกล้าวิจารณ์ ไม่มีใครกล้าติ เมื่อไม่มีการติ ก็ไม่มีใครชี้ให้เห็นถึงข้อเสียหรือสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วมนุษยชาติก็จะไม่เจิญก้าวหน้า....

เพื่อนแท้ไม่ใช่คนที่ยิ้มให้เราทุกสถานการณ์ แต่คือคนที่ยอมบึ้งตึงใส่เราเมื่อเห็นว่าเรามีข้อเสีย และยอมตักเตือนเราเพื่อให้เราปรับปรุงตน แทนที่จะปล่อยให้ข้อเสียของเราคาราคาซังอยู่แบบนั้นโดยแสร้งทำเป็นลืมหรือมองไม่เห็น

คำพังเพยไทยยังใช้ได้อยู่นะคะ....
"หวานเป็นลม ขมเป็นยา"

นี่แหละค่ะคือมุมมองของฉันในเรื่องนี้

Friday, June 12, 2009

คำก็โอตาคุ สองคำก็โอตาคุ!

ไปมุงกระทู้ pantip มาอีกแล้วค่ะ โอ๊ยขัดใจมากมาย

ถูกใจหลาย ๆ ความเห็น ที่ร่วมชี้แนะ(หรือวิจารณ์)อย่างสุภาพและมีเหตุผล บางอันน่าให้กิ๊ฟมาก ๆ แต่ช่างเป็นที่ทรมานใจเหลือเกินเพราะกิ๊ฟของเดือนมิถุนายนนี่หมดไปตั้งแต่ต้นเดือนแล้วค่ะ เหอะ ๆ (ประมาณว่าหมดตั้งแต่วันที่ 2....) และบางข้อความก็ช่างทำให้ขัดใจเป็นยิ่งนัก!

ก่อนอื่นก็ คำว่าเจ๊ง เจ๊งค่ะ เจ๊ง! เจ๊งที่แปลว่า ล่ม ล้ม พัง มันสะกดแบบนี้ คือใช้ไม้ตรีค่ะท่านผู้ชม

แล้วก็คำว่า บริษัท.... เข้าใจว่าเผลอจิ้มคีย์บอร์ดผิด แต่อะไรมันจะผิดได้ในทุกประโยคที่กล่าวถึงคะเนี่ย คีย์ไม้หันอากาศก็ไม่ได้เสีย (สังเกตจากคำอื่น ๆ สามารถใช้ไม้หันอากาศได้ตามปรกติ)

ถ้าเป็น Chat ที่พิมพ์สด กด enter สด ก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ คนเรามันเผลอผิดกันได้ เราเองก็จิ้มผิด พิมพ์พลาด หรือกด shift ผิดจังหวะบ่อย ๆ แต่นี่โพสต์กระทู้แท้ ๆ ก็ยังผิดซ้ำซากหลายรีพลายได้

ยังมีอีกคำ แต่คำนี้เห็นคนอื่นสะกดผิดบ่อยเหมือนกัน คือคำว่า โอกาส ซึ่งเผลอใช้ ศ. สะกดแทน

อ่านแล้วหงุดหงิดในหัวใจ ตามประสาคนทำงานกับตัวอักษรค่ะ

(และตามประสาคนประเภท "เรารักภาษาไทย" ก็อยากติงมาก ๆ เลยนะ ถ้าสนิทกันคงเตือนแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ซี้กัน ไม่ถือ แต่แบบ....เราไม่รู้จักมักจี่อะไรเค้าเลย ไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน จะไปละลาบละล้วงท้วงเค้าเรื่องการพิมพ์ผิดหรือการสะกดผิดก็รู้สึกว่ามันจะจาบจ้วงเกินไป เดี๋ยวจะมีคนอื่นมองว่าจับผิดไม่เข้าท่า - สรุปคือกลัวเสียภาพลักษณ์เลยไม่เตือน เงิก.... เห็นแก่ตัวไปมั้ยนี่?)

ปัญหานอกเรื่องหมดไป มาถึงปัญหาของเนื้อหาในกระทู้....

ก่อนอื่นอยากบอกว่ากระทู้นั้นมีคนเข้ามารติเพื่อก่อมากมาย ซึ่งน่าจะมีประโยชน์ในอนาคตสำหรับทีมงาน เพราะคนเราย่อมเรียนรู้จากความผิดพลาด และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับปรุงปัจจุบันเพื่อให้อนาคตดีขึ้น

ก็ดีค่ะ ความเห็นหลาย ๆ ความเห็นก็มีประโยชน์ดี

แต่ตงิด ๆ รำคาญคำว่า Otaku ค่ะ

คำนี้ปัจจุบันนำมาใช้กันเกร่อเกินไป และบางครั้งดูยัดเยียด ๆ ยังไงบอกไม่ถูก (โดยเฉพาะในกระทู้บางกระทู้ของ pantip รู้สึกจะเชิดชูบูชาคำว่าโอตาคุกันซะจนเลิศลอยเหลือเกิน) บางทีก็เอามาใช้เรียกคนอื่นเหมือนเป็นคำสรรเสริญ.... เห็นแล้วปวดขมับค่ะ

คือจริง ๆ คนเราใครจะเป็นโอตาคุหรือไม่เป็น ตัวเองหรือคนรอบข้างอาจจะรู้ดีที่สุด และใครจะมองคำว่าโอตาคุยังไง ก็คงเป็นทัศนคติส่วนตัวของคนนั้น แต่อย่าลืมนะคะว่าคนเราไม่ได้มองทุกอย่างเหมือนกันหมด บางคนที่ชอบคำว่าโอตาคุ รู้สึกว่ามันโก้ดี แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร โดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง คนอื่นอาจจะไม่มองคำคำนี้อย่างที่คุณมองก็ได้!

สำหรับเราคำว่า Otaku นี่มันกินดีกรีหนักกว่าเป็นแค่ geek หรือ nerd ธรรมดา ๆ ถ้าให้เทียบกับภาษาอังกฤษ ก็คงประมาณเกือบ ๆ พวก no life

ซึ่ง No life ในภาษาอังกฤษหมายความถึงพวกที่หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรก (ส่วนมากหมายถึงเกม โดยเฉพาะเกมออนไลน์ หรือหมายถึงโลกไซเบอร์ จำพวกเว็บบอร์ด) จนไม่มี "ชีวิต" ในโลกจริง คือหมกตัวอยู่แต่ในโลกออนไลน์ วัน ๆ เฝ้าแต่เว็บบอร์ด หรือคอยรีเฟรชกระทู้เพื่อรีบตอบอย่างฉับพลัน ซึ่งคำด่าที่คนอื่นจะงัดออกมาใช้ก็คือ "Get a life" ความหมายก็คือประมาณว่า "มึงช่วยไสหัวไปแล้วไปหาอะไรทำนอกจอเถอะ กูรำคาญมึง"

และส่วนมากคนที่จะโดนว่าขนาดนี้ ต้องทำตัวงี่เง่าในระดับหนึ่ง เช่นยึดติดกับของหรือชื่อเสียงออนไลน์มากเกินไป ทำตัวงอแง ขี้วีน จองล้างจองผลาญอีกฝ่าย (ที่เป็นแค่ชื่อสมมติในเว็บ หรือตัวละครสมมติในเกม) แล้วทำตัวเหมือนวัน ๆ ว่างมาก คอยที่จะตอแยอีกฝ่ายอยู่เนือง ๆ หรือไม่ก็เป็นพวกอวดโอ่ โอหังด้วยศักดาออนไลน์ของคน ว่าข้าแน่ ข้าเจ๋ง (ประมาณว่ามี e-peen เยอะ โม้ทับถมคนอื่น) พวกนี้ก็อาจถูกตราหน้าว่า no life ได้เช่นกัน

ซึ่งคนเราถ้าถึงขั้นเพื่อนว่า หรือคนอื่นด่าว่าเป็นพวก No life, หรือว่าใส่หน้าว่า "You have no life." ไม่ก็ไล่เราให้ Get a life นี่ก็ควรพิจารณาตนเองได้แล้ว ว่าทำอะไรที่มันสุดโต่งไปรึเปล่า

ค่ะ สำหรับเรา Otaku ก็เป็นคำบรรยายถึงกลุ่ม Extreme (สุดโต่ง) พวกนั้นเช่นกัน แต่จะโต่งแค่ไหนก็คงแล้วแต่รายบุคคลไป โต่งมากโต่งน้อยตามอัตรา บางระดับก็ยังเป็นที่ยอมรับของเพื่อนฝูงเพราะไม่ก่อความอับอายขายหน้าหรือความเดือดร้อนให้ใคร แต่บางทีอาจถึงขั้นเพื่อนไม่คบ ไม่ว่าตนเองจะทำตัวเองให้ไม่น่าคบ หรือเพื่อน ๆ จะเป็นฝ่ายตีตัวออกห่างก่อนด้วยเหตุผลนานาก็ตาม

และมันไม่ใช่คำประเภท quality ที่จะนำมาใช้อวดโอ่สรรพคุณหรือเยินยอใครเลยค่ะ

สิ่งที่คุณเป็นนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ชื่อสรรพคุณ ชื่อกลุ่ม หรือคำบรรยายที่คนอื่นมอบให้ แต่คือตัวตนของคุณ เนื้อแท้ของคุณ ว่ามีคุณค่าแค่ไหน ดังนั้นมันมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาขนานนามตัวเองหรือคนอื่นว่า Otaku อย่างยัดเยียด ๆ ขนาดนั้น?

อย่างเราเองที่เป็นสาววาย (ยาโอย) ก็รู้ตัวว่าเป็นและชอบ และมีรสนิยมแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระ ไม่ใช่เรื่องที่ควรภาคภูมิใจแล้วเที่ยวไปตีกลองร้องป่าวว่าอิฉันเป็นสาววายนะเจ้าข้าเอ๊ยยยย หรือไปเที่ยวติดประกาศบ่งบอกว่าคนนี้ คนนู้น คนนั้นเป็นสาววายเหมือนอิฉัน!!!

จะไปดึงดูดความสนใจของสังคมทำไมคะ ในเมื่อเราอยู่เงียบ ๆ ของเราก็มีความสุขกับงานอดิเรกชนิดมีรสนิยมเฉพาะทางของเราเองได้ คนอื่นไม่รู้ก็ไม่เสียหาย คนอื่นไม่รู้จักก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลยกับรสนิยมของเรา

และเราจะรู้ได้ยังไงว่า คนอื่นที่เราเที่ยวไปประกาศติดยี่ห้อให้เขา ว่าเป็นสาววาย สาวกวาย เป็นแม่ยกวาย บลา ๆ เขาจะชอบคำที่เราเลือกให้เขา? หรือถึงเขาจะไม่ได้"ไม่ชอบ"ถูกเรียกเช่นนั้น แต่ก็อาจจะไม่ได้อยากเปิดเผยตัวตนก็ได้

ตัวเองอยากจะเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ และถ้ารักจะป่าวประกาศตัวเองก็เรื่องของคุณค่ะ แต่ไม่ต้องมาช่วยประกาศให้ฉัน ขอบคุณนะ เกรงใจมากเลย ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ ขี้เกียจจ่ายค่าโฆษณา

และถ้ามีคนมาชี้ประกาศตัวฉันว่า "นี่ไงสาวโอตาคุยาโอย" อิฉันก็คงจะสะบัดหน้าเชิด เดินหนี ไม่คุยด้วยค่ะ ไม่คบ....

มันเป็นคำญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นใช้กันยังไงก็รู้ ๆ กันอยู่ แต่พอนำเข้ามาประเทศไทย มันถูกแล้วเหรอที่จะมาบัญญัติความหมายใหม่หรือ "usage" ใหม่ให้มัน?

ยกตัวอย่าง....
ใครจะเรียกเส้นโซบะว่าเส้นราเมงก็ตามใจเถิดค่ะ ถ้าจะอ้างว่าก็มันเป็นเส้น ๆ ทำจากแป้งเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่อ่ะกิ๊ฟฟฟฟฟ มันม่ายช่ายยย! อิฉัน(และคนอื่น ๆ)ไม่เรียกด้วยหรอกนะคะ! และขอให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าคุณเองก็จะสื่อสารกับคนอื่นได้ยากด้วย ตราบใดที่ยังใช้คำผิดความหมายแบบนี้ต่อไป และอ้างว่ามันเป็นอคติส่วนตัว บลา ๆ ๆ


อ้อ ในกระทู้เห็นมีคนบ่น ๆ ว่าคนไทยปิดกั้น มีอคติกับคำว่าโอตาคุ

แหม ปิดกั้นอะไรคะ คนเราถ้าสนใจเรื่องคล้าย ๆ กันแล้วล่ะก็ไม่มีการแบ่งแยกชัดเจนขนาดว่า "อย่ามาใกล้ชั้น ไปทางโน้นไป๊ ชิ่ว ๆ" หรอกค่ะ แต่ไอ้การแบ่งกลุ่มหรือติดยี่ห้อว่าเป็นโอตาคุ บลา ๆ ๆ นี่ต่างหากล่ะคะ ที่จะปิดกั้นตัวคุณเอง ก็คนที่มาชี้บอกหรือเรียกคนอื่น(และตัวเอง)ว่าโอตาคุเนี่ยไม่ใช่เหรือคะ ที่กำลังแบ่งกลุ่มแยกออกไปใหม่เอง? ก็ดูเอาแล้วกันว่าใครกันแน่ที่แบ่งแยกหรือปิดกั้น

ถึงจะไม่ได้พูดออกมา หรืออ้างว่าไม่เค้ยไม่เคยแบ่งแยก แต่หลาย ๆ อย่างที่สื่อออกมาโดยนัย ๆ มันทำให้อดคิดไม่ได้ค่ะ

ถ้าอยากเข้าพวกต้องเป็นโอตาคุ?

ถ้าอยากร่วมสนุกด้วยต้องยอมถูกเรียกว่าโอตาคุ?

แบบนี้คนที่ไม่สะดวกใจจะเรียกตัวเองว่าโอตาคุ ก็ต้องมีบ้างล่ะที่สนแต่ไม่ยอมเข้าร่วม

เหอะ ๆ

แล้วจะโอตาคุกันไปเพื่อ??

คนที่ไม่คิดอะไรหรือไม่ถือสาก็อาจจะมีค่ะ แต่ยกตัวอย่างว่าสมมติมีคนหมู่หนึ่งจะไปทำอะไรสักอย่าง เช่น วิ่งมาราธอน แล้วคนที่ให้สัญญาณเริ่มวิ่งดันตะโกนว่า

"เอ้า มาราธอนสำหรับพวกบ้าทั้งหลายกำลังจะเริ่มแล้ว 3 2 1!! Go!"

คนที่ไม่วิ่งเพราะแย้งว่า "ผมไม่บ้า" หรือคนที่ยืนลังเลคิดอยู่ว่า ผมจะเป็น"ไอ้พวกบ้า"กับเค้าดีรึเปล่า ก็คงมีค่ะ และไม่ผิดด้วย คนที่ไม่ถือ และวิ่งโดยคิดว่าก็ผมมาเพื่อวิ่งมาราธอน คนอื่นจะประชาสัมพันธ์งานนี้ว่าไงก็ช่าง ก็คงมีเหมือนกัน

ถ้าในเมื่อนักวิ่งทั้งหมดคือกลุ่มเป้าหมาย คนประกาศก็ควรจะคำนึงถึงทั้งกลุ่ม ไม่ใช่ดูแต่กลุ่มหลังเท่านั้น

การเลือกใช้คำ มีผลในชีวิตจริงและกิจกรรมต่าง ๆ มากค่ะ เพราะคำพูดนั้นวิเศษนัก จะบันดาลให้อะไรสำเร็จหรือล้มเหลวก็ได้ทั้งนั้น จะสร้างมิตรหรือสร้างศัตรูก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับการใช้ให้เหมาะสมจริง ๆ ค่ะ

เออคนประกาศโฆษณาเขาบอกว่า ไม่ได้จำกัดแต่โอตาคุนะ เพลงเนี่ยใคร ๆ ก็ชื่นชอบได้ คอนเสิร์ตก็เปิดเพื่อคนทั่วไป ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่ม บลา ๆ ๆ แต่ไอ้การโหมโฆษณาโดยยึดคำว่าโอตาคุเนี่ย มันชวนให้คิดจริง ๆ ค่ะ รู้สึกเลยค่ะว่ากำลังโดนแบ่งแยก (ไม่ว่าจะแบ่งแยกว่าเราใช่ หรือแบ่งแยกว่าเราไม่ใช่)

ชอบจังคคห.ที่บอกว่า
"คำก็โอตาคุ สองคำก็โอตาคุ (ถ้าจะต่อมุขคุโรมาตี้ต้อง "บรรพบุรุษแกเป็นโอตาคุหรือไงฟะ")"

อย่างฮา!!

ป.ล. อิฉันจะไปดูค่ะ คอนเสิร์ตนี้ แต่อิฉัน "ไม่ ใช่ โอ ตา คุ"
เป็นแค่เพียงเด็กรุ่นเซนต์เซย์ย่า รุ่นดรากอนบอลค่ะ หุ ๆ ๆ