Monday, November 15, 2010

ตัวเองไม่แก่บ้างก็ให้มันรู้ไป

นาน ๆ เข้า blogspot ที ก็บ่นทุกที...

ก็ แหม เป็นคนไม่สม่ำเสมอ เลยไม่ได้เขียนเป็นประจำ ก็เลยเขียนเฉพาะเวลามีไฟ หรือฮึดอะไรขึ้นมาแทน และแน่นอน จะมีอะไรมาสะกิดเชื้อไฟได้ดีกว่าความโกรธ?

หงุดหงิดงุงิอะไร ใช้บล็อกสิคะ
โมโหโทโสใคร ๆ ใช้บล็อกสิคะ
อยากต่อยอยากตบคนไหน ใช้บล็อกสิคะ
อยากบ่นอยากด่าเรื่อยไป ใช้บล็อกสิคะ
เก็บกดอัดอั้นตันใจ ใช้บล็อกสิคะ

เขียนบ่นระบายกับตัวเอง คลายความขัดข้องหมองใจ โดยไม่ต้องไปปีนเกลียวใคร นี่สิ อานุภาพของบล็อก! แหม เป็นยาวิเศษรักษาโรค(จิต)ได้ทุกโรคจริง ๆ

เรื่องของเรื่องคือวันนี้ไปเดินห้างกับคุณแม่ ก็เลยชวนคุยไปเรื่อย ๆ ได้ความว่าไปต่างจังหวัดแล้วเหนื่อยไม่พอ เครียดด้วย 'รมณ์เสียย่ะ'รมณ์เสีย เราก็ถามว่ามีอะไร เป็นอะไร คุณแม่ก็เลยเล่าให้ฟัง....

แหม จะว่าเอาเรื่องในบ้านของคนอื่นมานินทาก็ใช่.... แต่มันก็เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปที่หลายครอบครัวคงต้องประสบพบเจอด้วย เลยคิดว่า เขียน(บ่น)ไว้ไม่เสียหาย เผื่อใครมาอ่านเจออาจจะจดจำ เก็บไปคิดอะไรได้บ้าง

เรื่องมันเกิดจาก.... คุณแม่ไปทำบุญต่างจังหวัด เพราะช่วงนี้เป็นฤดูทอดกฐิน แล้วก็เลยไปเจอผู้คนมากมายยยยยยยยย ก็มีบ้านหนึ่ง มีคุณยายอายุประมาณ 80 มาด้วย และพอดีเป็นคนรู้จักมักคุ้นกัน และคุยกันถูกคอมาตลอด คุณแม่ก็เลยไปคุยด้วย

คุณแม่บ่นว่า หนนี้เจอ คุณยายคนนี้ไม่มีชีวิตชีวา ไม่เหมือนหนก่อน ตอนเจอยังยิ้มแย้มแจ่มใส แต่หนนี้ไม่ยิ้ม ตาก็หม่นหมอง ไม่มีแววความสุข! คุณแม่ก็เลยคอยมองเป็นพิเศษ ว่าคุณยายแกมีเรื่องทุกข์ใจอะไรหรือเปล่า

แล้วในระหว่างงานบุญ ก็พบว่า คุณน้าที่เป็นลูกสะใภ้ของคุณยายคนนั้น ก็บ่นให้เรา ๆ ฟัง ว่าคุณยายน่ะหลงแล้ว เป็นอัลไซเมอร์ ชอบหลงชอบลืมเพราะแก่แล้ว แล้วก็ว่าคุณยาย ว่าขี้โมโห ชอบหงุดหงิดฉุนเฉียว ด่าแม่บ้าน(แม่ครัว)อยู่บ่อย ๆ

คุณน้าที่เป็นลูกชายของคุณยายแก ก็พูดสนับสนุนด้วย ว่าแม่น่ะหลงแล้ว ไม่เหมือนคุณป้า (หมายถึงคุณย่าแท้ ๆ ของเรา ที่ไปทริปนี้กับพ่อกับแม่เราด้วย)

เราฟังแค่นี้เราก็ขัดใจแล้ว ก็ทำไมอ่ะ? แก่แล้วไง? แม่ตัวเองหนิ คนเรามีใครอยากแก่บ้างอ่ะ? หลงลืมก็เป็นเรื่องของสังขาร มันช่วยไม่ได้นี่

แม่เราเล่าต่อ ว่าพ่อเรา ด้วยนิสัยชอบพูดคุบ ชอบเออออไปกับวงสนทนา ก็ผสมโรงด้วย แม่เคืองมาก ต้องดุ ว่า อย่าเอาใครมาเปรียบเทียบกับคุณย่า เพราะคุณย่าอายุมากแล้วก็จริง แต่ทำงานทุกวัน ใครจะมาเทียบได้

ความหมายของแม่ก็คือ คุณย่าของเราใช้สมองทุกวันมาตั้งแต่สาว ๆ ปัจจุบันนี้ก็ยังออกไปไหนมาไหนอยู่ตลอด ใช้สมองทุกวัน พบปะคนมากมายตลอดเวลา และยังคงทำงานอยู่ แม้จะไม่ได้ไปออฟฟิศทุก ๆ วันแล้วก็ตาม แถมยังมีคนรับใช้ มีลูกสาวติดสอยห้องตาม จะทำอะไรก็สั่งได้ เพราะมีอำนาจ เป็นใหญ่ในบ้าน เพราะฉะนั้นก็ได้บริหารอำนาจ บริหารสมอง จะทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเอง

แต่คุณยายคนนั้นไม่ได้มีอำนาจในบ้าน สามีแกเสียไปแล้วก็จริง แต่ทุกวันนี้แกอาศัยบ้านลูกชายลูกสะใภ้อยู่ จะออกไปไหนก็ไม่ได้ ไม่ได้มีคนขับรถส่วนตัว เดินออกไปเอง ก็ถูกคุณน้า(ลูกสะใภ้)ต่อว่า ว่าอย่าซี้ซั้วออกไปเดิน มันอันตราย เกิดใครจับตัวไปเรียกค่าไถ่จะทำยังไง วัน ๆ เลยต้องนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในบ้าน จะไปบริหารสมองที่ไหน? ก็ต้องมีหลงลืมบ้างเป็นธรรมดา

แม่เราก็ช่วยเถียงให้ ว่า แต่คุณยายยังไม่หลง ยังจำแม่น ยังคุยรู้เรื่อง

ลูกชายแกก็แย้งว่า โอ๊ย คุณแม่น่ะจำได้แต่เรื่องอดีต เล่าแต่เรื่องเมื่อก่อน แต่ของปัจจุบันน่ะหลงลืมตลอด นอกจากนี้เวลามีใครถามอายุคุณยาย แล้วคุณยายตอบผิดไป 2 ปี คุณน้า(สะใภ้)ก็จะกรี๊ด ว่า อะไร้อะไร! คุณแม่จำอายุตัวเองแค่นี้ก็จำไม่ได้เหรอ คุณแม่น่ะอายุ 80 ต่างหาก!

โชคดีที่เราไม่ได้อยู่ด้วย.... ไม่งั้นอาจจะได้ก้าวร้าวผู้ใหญ่ และลุกขึ้นเถียงกลางโต๊ะแล้วว่า น้าคะ นั่นแม่คุณน้านะ จะหักหน้ากันไปทำไมให้อายชาวบ้านชาวช่อง คนเราไม่มีใครหรอกที่อยากแก่ อยากหลงลืม แค่ตัวเองแก่ตัวลง ดูแลตัวเองไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยยังแข็งแรง แค่นี้ก็ช้ำใจมากพออยู่แล้ว ทำไมคนในบ้าน โดยเฉพาะลูกแท้ ๆ ยังจะต้องมาซ้ำเติมให้เจ็บใจมากขึ้นไปอีก? ตัวเองไม่แก่มั่งก็ให้มันรู้ไปสิ อีกหน่อยลูกคุณน้าทำแบบนี้บ้างในตอนที่คุณน้าแก่หงำแบบนี้ คุณน้าจะรู้สึกยังไง?

โอ๊ยปรี๊ด คิดแล้วโคตรโมโห โมโห ๆ ๆ ๆ แม่ตัวเองนะ ทำแบบนี้ได้ไง ก็วัน ๆ ไม่คอยดูแล ไม่คอยช่วยเหลือ ไม่คอยส่งเสริมให้แกใช้สมอง บริหารความจำ ปล่อยให้แกหลงลืมเองนี่หว่า พอแกหลง ๆ ลืม ๆ นิดหน่อยก็ต่อว่าซะขนาดนี้

ถ้าเป็นเรานะ ถ้าตัวเราเองแก่แบบนี้ แล้วมีลูกแบบนี้ ชอบต่อว่า หักหน้า ชอบพูดให้เราอับอายและเสียใจแบบนี้ล่ะก็ ต่อให้เราไม่ได้หลงไม่ได้ลืมจริง ๆ เราก็คงอยากแกล้งทำเป็นหลงลืมอยู่ดี! รำคาญ ขี้เกียจพูดด้วย! ขออยู่เงียบ ๆ ตามประสาคนแก่ที่ไม่มีใครสนใจดีกว่า สงบดี ไม่รำคาญหูด้วย

แม่เราก็บอกเรา ว่าตอนนั้นแม่ก็เคืองเหมือนกัน แต่ก็ไปเสือกเรื่องในบ้านของเขาไม่ได้ ได้แต่คอยทำตาเขียว หรือสะกิดปรามคุณพ่อ ไม่ให้ผสมโรงไปกับเขา กับไปนั่งคุยเป็นเพื่อนคุณยายคนนั้น สอนให้แกไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น บอกว่าให้ห่วงแต่ตัวเอง พยายามทำตัวแข็งแรงไว้ ทำใจให้สบาย ให้ว่าง ให้ฟังธรรมะ สวดมนต์ ทำจิตให้สงบ เพราะลูกหลานโตหมดแล้ว ร่ำรวยแล้ว ไม่มีใครต้องห่วงแล้ว

สรุปว่า บ้านไหนมีผู้เฒ่าผู้แก่ แทนที่จะรำคาญว่าแกแก่ ดูแลตัวเองไม่ได้ หลง ๆ ลืม ๆ เรามาช่วยกันหาวิธีช่วยแกบริหารสมองทุก ๆ วันดีกว่า จะได้ไม่หลงไม่ลืม เพราะการใช้สมองอยู่ทุกวัน คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ความจำดี และหลงลืมช้าลง อย่าละทิ้ง อย่าดูถูกคนแก่ อย่าต่อว่าท่าน อย่าพูดถากถางให้ท่านเสียใจ ช่วยกันเอาใจใส่ดูแลผู้อาวุโสในบ้านของคุณ เพื่อไม่ให้ท่าน"แก่"จะดีกว่า

คุณอาจจะคิดว่าพวกท่านเป็นภาระ แต่สมัยก่อนล่ะ? สมัยที่พวกท่านยังช่วยเหลือตัวเองได้ ยังแข็งแรง พวกท่านดูแลเรามามากขนาดไหน เหนื่อยมาเท่าไหร่แล้ว? แล้วเราล่ะ เมื่อก่อนเคยเป็นภาระให้ท่านไหม? ตอนเด็ก ๆ เราต่างล้วนเคยเป็นภาระให้พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย คนใดคนหนึ่งมาแล้วทั้งนั้น

ตอนเป็นทารก ใครล้างก้นให้เราเวลาเราอึเลอะผ้าอ้อม หรือฉี่ใส่ที่นอน? ใครที่ป้อนนมป้อนข้าว? ใครที่เลี้ยงดูเรามาจนโต?

แล้วเราเองอีกหน่อยก็ต้องแก่

มองดูพวกท่าน แล้วขอให้นึกไว้ตลอดเวลา ว่าอดีตของพวกท่าน ก็เคยผ่านวัยเด็ก วัยรุ่ย วัยกลางคน มาเหมือนเรา และเราเอง อีกหน่อยก็ต้องเข้าสู่วัยชราเหมือนท่าน ปฏิบัติต่อท่านอย่างที่มนุษย์ควรได้รับ ปฏิบัติต่อท่านอย่างที่ปัญญาชนพึงปฏิบัติ อย่าให้ข้าวที่เรากินไปจากน้ำพักน้ำแรงของท่านทุกเม็ดกลายเป็นเพียงข้าว ที่กินแล้วร่างกายแปรให้เป็นขี้ แล้วก็ขับออกไป ลงโถลงท่อแล้วก็แล้วกันไป โดยไม่มีคุณค่าหรือความซาบซึ้งใด ๆ หลงเหลืออยู่ในร่างกาย จิตใจ หรือสมองของเรา

Monday, September 27, 2010

My FFXIV Character

OK, I just need a place to display my automatically updated FFXIV signature.

Aleczan Knighthill, server Palamecia.


Monday, August 9, 2010

คนมาทีหลังได้ก่อน

วันนี้เจ็บใจมาก เจอคุณลุงนิสัยเกรียนคนนึง
(แต่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้ว เค้าก็คิดว่าเราเกรียนป่าว 555....)

คือไปเดินซีคอนสแควร์กับคุณแม่ พอดีมันมีเทศกาลอาหารญี่ปุ่น ก็ขายอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ของนำเข้าจากญี่ปุ่น ฯลฯ เต็มไปหมด
คุณแม่อยากกินทาโกะยากิมาก เห็นร้านนึงน่ากินเลยเดินไปรอซื้อ
ส่วนเราตามไปช้าหน่อยเพราะมัวแต่ซื้อซูชิอยู่
พอไปถึงก็เจอคุณแม่ยืนอยู่หน้าเคาเตอร์ร้าน กับคุณลุงคนนึง

คุณแม่ก็ถามราคา ถามว่าขายยังไง กล่องเท่าไหร่
ร้านเค้าก็ขายหลายราคา ตามจำนวนลูก เช่น 4 ลูก 75 บาท 6 ลูก 100 บาท
เรากับแม่ก็ถาม ๆ กัน ว่าเอากี่ลูกดี กล่องเดียว 6 ลูกจะพอมั้ย ต้องซื้อเผื่อพ่อหรือน้องมั้ย ฯลฯ
เราก็หยิบเงินแล้วบอกว่า เอากล่องนึง 100 บาทก่อนละกัน

ที่ร้านเค้าก็กำลังปิ้ง ๆ แล้วก็พลิกทาโกะยากิไปมา รอให้สุกได้ที่
เพื่อฆ่าเวลา คนขายก็โฆษณาสรรพคุณอุปกรณ์และวัตถุดิบไปพลาง ว่า สั่งซื้อมาจากญี่ปุ่น ราคาเลยแพงหน่อย แต่อร่อย
ส่วนเราก็ถามเรื่องมันเผาที่ขายอยู่ในร้านเดียวกัน
(จริง ๆ ต้องบอกว่ามันย่าง เพราะมันวางบนตะแกรง ใช้แก๊ส แต่พอดีแก๊สหมด
เค้าบอกว่าต้องรอแก๊สก่อน ขายไม่ได้ ยังไม่สุก นอกจากเราแล้วมีลูกค้ามาถามซื้ออีก 2 คน ทุกคนก็ผิดหวังเดินจากไป)

แล้วพอได้ของ คนขายเค้าก็ใส่ให้เรากับแม่ 6 ลูก เก็บเงิน 100 บาท
แล้วแม่เราก็เดินออกไปจากหน้าร้าน
เรากำลังจะตามไป ก็เห็นว่าคนขายเขาหยิบกล่องใหม่มา วางกระดาษ แล้วเตรียมรับออร์เดอร์จากลุง
ที่ไหนได้ลุงโมโหมาก บอกว่า "ไม่เอาแล้ว!" ตามด้วยคำตัดพ้อ "คนมาทีหลังได้ก่อน"

เราก็ยินก็เหวอเลย คนขายก็ยืนเหวอสองคน
แต่ลุงก็เดินไปแล้ว
เราก็ตกใจแล้วถามแม่(เสียงดัง)ว่า แม่ แม่มาทีหลังเค้าเหรอ
แม่ก็กลับหลังหันมา งงมาก ถามว่า อะไร? อะไร?
เราก็เล่าให้ฟัง
คนขายสองคนรีบบอกเราใหญ่เลยว่า ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก
แม่เราก็เดินกลับเข้าไปที่ร้านแล้วบอก(ปลอบ?)คนขายว่า
"ก็เค้าซื้อของงี่เง่าเองนี่ ไม่สั่งซะทีว่าจะเอาอะไร ถามอยู่ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ ก็นึกว่ายืนชวนคุยเฉย ๆ"

คือพอมาทบทวนความจำดูอีกที ก็นึกออกว่าคุณลุงคนนั้นก็ยืนถามนู่นถามนี่ โยกโย้ ยึกยัก ไม่สั่งซะที
แล้วก็ถามเยอะ เหมือนยืนชวนคนขายคุยนู่นนี่มากกว่า
เดี๋ยว ๆ ก็ถามว่า ร้านนี้มีผงโรยข้างบนมั้ย เผ็ดมั้ย ซอสมีมั้ย เด็กกินได้หรือเปล่า
(คิดดูดิ กว่าเราจะเดินตามแม่มาถึงร้าน กว่าเราจะถามเรื่องมัน กว่าคนขายจะอธิบายเรื่องแก๊สหมด
แล้วยังมีลูกค้ามาถามเรื่องมันอีก 2 คน ซึ่งคนขายก็ตอบอธิบายไปทั้งสองรอบ
แล้วแม่เรายังถามเรื่องข้าวโพดที่ขายในร้านด้วย มันใช้เวลานานแค่ไหน
แต่ลุงคนนั้นก็ยังไม่สั่งสักที ถามอย่างอื่นอยู่ได้)

แล้วเราก็ได้ยินเหมือนกันนะว่าเค้าพูดประมาณว่า โรยแล้วราดซอสให้ด้วยนะ
คือพูดเหมือนจะสั่งแล้วกินเลย แต่ลุงแกจนแล้วจนรอดก็ไม่ระบุว่าจะเอากล่องกี่บาท กี่ลูก
คนขายก็ถือกล่องรออยู่นาน แม่เรา(ที่ก็ยืนอยู่นานแล้วเหมือนกัน) ก็เลยไม่ได้สนใจว่าตาลุงคงอยากได้ทาโกะยากิก่อน
แล้วเรา(ที่มาทีหลัง ไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้าด้วยเลย)ก็สั่งตัดหน้าลุง

ก็ขำนะ ว่าคนเราแบบนี้ก็มีด้วย
แต่ที่โมโหก็คือ เค้าว่าซะเหมือนเรามารยาททรามมาก มาแซงคิว
แต่ไม่รอให้เราตอบหรือแก้ข่าวเลย ว่าเสร็จก็สะบัดตูดเดินหนีไป
Hit & run ชัด ๆ .... โอย แค้น
คือถ้าเราตั้งสติได้นะ (ซึ่งปรกติก็ตั้งไม่ได้หรอก เวลาทีเรื่องฉุกละหุกต้องด่ากับใคร เราคิดไม่ทันทุกที)
เราก็คงจะเถียงลุงว่า คนมาก่อนแต่ไม่สั่งซะที กับคนมาทีหลังแต่รีบดูเมนูแล้วรีบสั่ง ร้านอาหารที่ไหน ๆ เค้าก็ต้องเสิร์ฟคนที่สั่งก่อนทั้งนั้นแหละ

ไม่สั่งอาหารแล้วจะได้อาหารได้ไงวะ......

Sunday, June 28, 2009

คำแนะนำเชิงบวก เชิงลบ

ไปมุงกระทู้นี้มา
การแปลเมนูอาหารภาษาอังกฤษ (น่ากลัวมาก) - 0 -
http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D8008332/D8008332.html

ก็ขำอ่ะ ขำจนน้ำตาเล็ดเลย หลาย ๆ อย่างมันแบบว่า "คิดได้ไง" หรือไม่ก็ "โอ๊ย ทำไปได้!" แล้วพออ่านเลื่อน ๆ ลงมาดู ก็สะดุดกับความเห็นหนึ่ง ที่พูดประมาณว่า "มันจะสร้างสรรค์กว่ามั้ย ถ้าเอาเวลามาช่วยบอกคำแปลที่ถูกต้องเอาไว้ แทนที่จะมานั่งหัวเราะกัน" กับอีกคนบอกประมาณว่า ที่เราหัวเราะกันเนี่ยก็เหมือนว่าคนเขียนเมนู เหมือนห้ามว่าถ้าพูดผิดก็อย่าพูด แบบนี้ใครจะกล้าพูดกล้าฝึก บลา ๆ ๆ

โถ.... คิดไกลเหลือเกิน

แถมยังใช้คำพูดสะกิดเชิงลบอีกต่างหาก อ่านแล้วไม่ชวนให้คล้อยตามเลยขอบอก

หนึ่งคือ กระทู้นี้เจ้าของกระทู้เจอ fwd mail ที่มีรูปเมนูที่แปลผิดทำนองว่าซับนรก เลยเอามาแชร์กันให้ขำเฉย ๆ เจ้าของกระทู้ไม่ได้เป็นคนเขียน และไม่ได้มาขอคำแนะนำ ย่อมไม่แปลกที่คนอ่านและคนตอบจะเน้นไปทางฮาและขำ และไม่มีใครแนะนำ

ถ้าเจ้าของกระทู้ลองบอกว่า ผมแปลได้แค่นี้ แต่อยากได้คำแนะนำว่าถูกผิดยังไง ใครรู้ช่วยแก้ไขที มีหรือคนเค้าจะหัวเราะ จะมีแต่คนช่วยน่ะสิ

สองคือ ถ้าอยากให้คนอ่านหรือคนตอบคนอื่น ๆ ช่วยกันแนะนำคำที่ถูกต้อง มันไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดที่ตัดพ้อแบบนี้ เพราะมันอ่านแล้วมี negative tone เหมือนตำหนิคนอื่นก่อนแล้วค่อยขอความช่วยเหลือ เหมือนกล่าวหาว่าเค้าแล้งน้ำใจ ดูดาย ไม่ช่วยเหลือคนอื่น แบบนี้คนบางคน (เช่น คนหัวดื้อแบบเรา) อาจจะรู้สึกไม่อยากช่วยขึ้นมา

สมมตินะ

ถ้ามีเพื่อนเอารูปมาให้ดู แล้วบอกว่า เป็นไง รูปชั้น วาดดีหรือยัง แกชอบป่ะ
เราตอบว่า ไม่ดี ไม่สวย ไม่ชอบ
เพื่อนงอน แล้วบอกว่า "มันจะสร้างสรรค์กว่าป่ะ ถ้าแกแนะนำเราว่าควรแก้ไขตรงไหน แทนที่จะว่าว่าไม่สวย ไม่ชอบ"

เออ ก็เอ็งไม่ได้บอกว่าต้องการคำแนะนำ แล้วตูจะรู้ได้ไง....

คำพูดชวนปีนเกลียวมากเจ้าค่ะ

คำพูดนี้ยังทำให้เป็นเชิงบวกได้ ด้วยการบอกว่า
"อ้าวเหรอ ยังไม่ดีเหรอ มีตรงไหนที่ชั้นควรแก้บ้าง ลองแนะนำหน่อยดิ"

สำหรับเรา เราคิดว่าการที่จะให้คนอื่นช่วยเหลืออะไร หรือเวลาเราจะขอความร่วมมือจากเค้า หรือแม้แต่จะแนะนำอะไรที่มีประโยชน์ให้คนอื่นทำตาม เราควรจะใช้คำพูดในเชิงบวก ซึ่งนอกจากจะเป็นการถนอมน้ำใจอีกฝ่ายแล้ว ยังจะทำให้เค้ามีแนวโน้มที่จะให้ความร่วมมือมากขึ้นด้วย

ยกตัวอย่าง

คุณพ่อคนหนึ่งยกของหนัก ลูกชายนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ช่วยอะไร เพราะพ่อไม่ได้เรียกให้ช่วย
คุณแม่เดินมาเห็นเข้า ก็บอกว่า
Choice 1.
"เป็นง่อยเหรอ เห็นพ่อยกของหนักทำไมไม่รู้จักช่วย"

Choice 2.
"เฮ้อ บ้านคงน่าอยู่กว่านี้ ถ้าลูกรู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือพ่อบ้าง"

Choice 3.
"อ้าว ลูกอยู่ตรงนี้เหรอ พ่อยกของหนักน่ะ ช่วยหน่อยสิลูก"

แบบไหนที่ชวนให้ลูกคล้อยตามได้มากกว่ากัน?

หรืออีกตัวอย่าง...

เพื่อนกำลังทำงานศิลปะอยู่ แล้วเราไปเห็นเข้า รู้สึกคันปากอยากบอกให้เพื่อนแก้งาน

Choice 1.
"อี๋ แกลงสียังไงนั่นน่ะ น่าเกลียดเชียว ใช้ไม่ได้เลย เปลี่ยนเป็นสีนี้ดีกว่านะ"

Choice 2.
"โห นี่สาบานนะว่าใช้มือทำ ทำได้แค่เนี้ยเหรอ ทำไมไม่ทำแบบนี้ ๆ ๆ"

Choice 3.
"เออนี่ เราว่าสีตรงนี้มันจัดไปหน่อยนะ ลองลดให้อ่อนลงน่าจะดี หรือลองสีนี้เป็นไง"

แบบที่ 3 เพื่อนน่าจะรับฟังได้มากกว่า ส่วนอีก 2 แบบ ปากคนพูดอาจจะมีสี(แดง)เสียเอง


จะเห็นได้ว่าการไม่ได้ขอร้องหรือสั่งโดยตรง แต่ใช้คำพูดต่อว่าซึ่งหน้าในเชิงตำหนิ มันชวนให้โมโหมากกว่าชวนให้ทำตาม หรือถึงไม่ต่อว่าซึ่งหน้า แต่เปรยลอย ๆ เสียดสีในเชิงลบให้กระทบหู ก็ชวนให้ขัดเคืองใจอยู่ดี สู้ขอหรือบอกไปตรง ๆ เลยว่าต้องการให้ช่วย ยังน่าจะได้ผลดีกว่า

กระทู้นั้นก็เหมือนกัน ถ้าอยากให้คนอื่นแนะนำ ก็น่าจะบอกไปตรง ๆ เลยว่า "ผมอยากให้เพื่อน ๆ ช่วยกันแนะนำครับ ว่าควรแปลอย่างไรบ้าง เผื่อจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ ต่อไป" หรือ "ฉันอยากรู้ค่ะว่าควรใช้คำว่าอะไรบ้างถึงจะถูก เพราะเป็นคนอ่อนภาษาอังกฤษ" แค่นี้คงพูดไม่ยาก.... แต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องเกริ่นนำในเชิงตำหนิคนอื่นก่อน

คนประเภทโคนันทวิสารมีอยู่มากมายนัก การเลือกใช้คำให้เป็นเชิงบวกจึงเป็นสิ่งสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะการพูดดี ย่อมเป็นผลดีกับทั้งคนพูดและคนฟัง

Sunday, June 21, 2009

ก็น้องเสือกต่อคิวช้าเอง

*update*
คุณหนุ่ยกลับมาตอบและชี้แจงเรื่องคำตอบที่ไม่เหมาะสมนี้แล้ว และเรา ในฐานะที่เป็นแค่คนอ่าน ไม่ได้เป็นคนโดนว่า รู้สึกว่ายอมรับได้ และไม่ค้างคาใจแล้วค่ะ

--------------------------------------------

อึ้ง.......

สมองปั่นป่วน

งง.......

เค้าพูด(พิมพ์)แบบนี้ออกมาเลยเหรอ???

ทำไม เราถึงเสียใจขนาดนี้.... เมื่อวานนี้เรายังสนุกอยู่เลย แล้วยังรู้สึกดี ๆ อยู่จนถึงเมื่อกี้ แต่ข้อความที่เราเห็นทำให้หัวใจที่พองโตของเราฟีบลงไปทันที

อยากตอบ แต่ไม่กล้า

สงสารเค้ามั้ง....
คิดว่าเค้าคงจะเหนื่อย และหงุดหงิดตามประสาคนที่เครียดและอ่อนเพลียกับงานใหญ่ หรือไม่ก็ เราก็ไม่อยากเชื่อว่าที่มาเขียนแบบนั้นคือตัวจริง

สุดท้ายคิดไปคิดมาก็ไม่ตอบดีกว่า เดี๋ยวจะบั่นทอนกำลังใจใครเขาเปล่า ๆ

เอ หรือที่จริงแล้วเราอยากหลอกตัวเองว่าเค้าไม่ได้เจตนาเขียนแบบนั้น เลยไม่อยากแสดงตนว่ารู้เห็น

โอย เศร้า....

คิดวนไปวนมา....
ถ้าเป็นมิตรกันจริงควรติเตียนและตักเตือนใช่ไหม??

แต่เราไม่ได้สนิทกับเค้า แถมยังเด็กกว่า (น่าจะ) จะไปพูดอะไรในที่สาธารณะอย่างข่าวในเว็บแบบนั้นเค้าก็จะเสียหน้า

ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี

เรารู้สึกดี ๆ กับงาน ประทับใจ ชอบ ชื่นชม
ความรู้สึกเหล่านั้นมันคงไม่เปลี่ยนไป

เพียงแต่ตอนนี้มีอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมา นั่นคือ รู้สึกว่าเค้าใจร้าย และไม่ถนอมน้ำใจคนอื่น แม้แต่ลูกค้าที่อุดหนุนซื้อตั๋วของเค้า

เสียใจอ่ะ....

ที่พิมพ์ไว้ว่าจะตอบ อยากตอบ ก็ไม่ได้กดตอบไป เก็บมาแปะแอบซ่อนไว้ในมุมมืดแห่งหนึ่งแทนก็แล้วกัน

-------------------------------------------------------

แรงไปมั้งคะ....
อ่านแล้วสะอึกเลยนะเนี่ย

ก็ เพราะคนต่อคิว เค้าเชื่อฟังสต๊าฟงาน พอสต๊าฟบอกให้ตั้งแถว เค้าก็ยอมต่อคิว แบบไม่เบียด ไม่แซง แถวยาวเป็นงูเลื้อยลงไปถึงชั้นล่าง ก็ต่อแถวอย่างมีระเบียบไม่ใช่หรือคะ ทำให้ต้องเกิดมีคนที่โชคไม่ดีไปอยู่ท้ายแถวขึ้น จนไม่ได้ลายเซ็น
จะไปว่าว่าเขาเจือกต่อแถวช้าเองแบบนี้มันไม่ถูกนะคะ

หรือ ว่าออพชั่นที่ดีกว่าคือดื้อด้าน ไม่ต่อแถว ไม่ทำตามที่สต๊าฟขอ แล้วก็ไปเบียด ๆ แซง ๆ คนอื่น เพื่อขึ้นไปอยู่ข้างหน้า เพื่อให้ได้ลายเซ็นคะ?

ไม่จริงใช่มั้ยคะ?

คุณหนุ่ยเคยบอกว่า คำบางคำ บางประโยคมันทำร้ายจิตใจคนเรา ทำลายกำลังใจคนเราได้ เพราะคุณหนุ่ยเองก็เคยโดนมา ใช่หรือไม่คะ? แล้วทำไมยังใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นได้แบบนี้ล่ะคะ?

คนนี้เค้าก็แค่บอกเล่า ไม่ได้เอะอะโวยวายหรือต่อว่า ด่าทอสต๊าฟนะคะ
ก็แค่เล่าให้ฟัง ว่าไม่ได้ลายเซ็น เพราะโดนกันให้ออก
แบบนี้แค่คุณหนุ่ยชี้แจงดี ๆ ด้วยเหตุผลก็พอมั้งคะ

ส่วน เรื่องกติกงกติกาอะไรนั่น ถ้ามีก็ต้องเคารพกติกาค่ะ แต่พอดีเราเองไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีกติกาแบบนี้ (หรื่องกำหนดเวลา) ก็เลยไม่ทราบว่าทุกคนได้รับทราบกติกากันทั่วถึงแล้วหรือยัง การที่คาดหวัง แล้วผิดหวัง เป็นความผิดของคนหวังเอง ที่ไม่รู้ล่วงหน้าใช่หรือไม่?

คราวก่อนที่งาน TGS ทางสต๊าฟก็เข้ามาปิดท้ายแถวนี่คะ ว่า ตัดแถวแค่นี้นะครับ หลังจากนี้ไม่ให้ต่อแถวแล้ว จบ พอ ให้ศิลปินได้พัก
ถ้า รู้ล่วงหน้าแบบนี้ กั้นท้ายแถวไปเลยแบบนี้ มันเห็น ๆ อยู่แล้วอ่ะค่ะว่าเหตุผลเป็นยังไง ทุกคนก็คงจะทำตามโดยไม่บ่นไม่งอแง และที่สำคัญคือไม่เสียความรู้สึก

ถ้าจะให้หยุดตามที่กติกากำหนด น่าจะแจ้งให้ทราบโดนทั่วถึงนะคะ จะได้ไม่มีใครบ่น และจะได้ไม่มีใครเข้าแถวให้เมื่อยเสียเที่ยว
เพราะถ้าเป็นเรา ลองเข้าแถวเป็นชั่วโมง ๆ แล้วสุดท้ายไม่ได้ลายเซ็นตามที่นึกฝันว่าจะได้ ก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดาค่ะ

อ่านความเห็นของคุณหนุ่ยแล้ว เจ็บในหัวอกจริง ๆ เลย....
(ขนาดว่าเราได้ลายเซ็นนะ ไม่ได้โดนตัดออกเพราะหมดเวลาอย่างคนที่คุณหนุ่ยว่า)

เข้าใจค่ะว่าเหนื่อย เจอคนบ่นก็คงอารมณ์ไม่ดี
แต่เรื่องแบบนี้ชี้แจงกันดี ๆ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดจะดีกว่ากับทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือคะ?

Tuesday, June 16, 2009

เชิดชูหรือหยามเหยียด?

คำจำกัดความ.... ที่มีใครสักคน หรือหลาย ๆ คน (หรือ....คนหลาย ๆ กลุ่ม) บัญญัติขึ้น และใช้เรียกตนเองหรือผู้อื่น มันช่างวุ่นวายซับซ้อนจริง ๆ

ช่วงนี้ก็มีประเด็นร้อนว่าด้วยคำว่า โอตาคุ (Otaku) อยู่ในบอร์ด

เอ่อ ที่จริงมันก็มีกระทู้เรื่องคำว่าโอตาคุอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ตัวคำศัพท์ คำว่า "โอตาคุ" หรือวิจารณ์ตัวบุคคล ที่ถูกขนานนามว่าโอตาคุ

แต่หนนี้ดูเหมือนมันจะวุ่นและร้อนกว่าเดิม เพราะเป็นกระทู้ของดันไบน์ยอดนักกิน (เอ๊ะ เหมือนจะไม่เกี่ยว?)

คือมันฮ็อตเพราะกระทู้ดูมีความเกี่ยวเนื่องกับอีกกระทู้นึงใน pantip

ส่วนตัวแล้วสำหรับกระทู้โหวตของดันไบน์เรื่องความหมายของคำว่าโอตาคุ.... เรารู้สึกว่า

- เป็นคำที่คนไทยนำมาใช้เกร่อเกินไป (แอบเบื่อเป็นการส่วนตัว ว่างั้นเถอะ ฮ่า ๆ)
- เป็นคำที่คนหลายคนเพิกเฉยต่อความหมายดั้งเดิมในภาษาต้นฉบับ แล้วนำมาใช้แบบหลงผิดอยู่มาก
- เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เป็น brand name เพื่อการโฆษณามากเกินไป
- เป็นคำที่บางคนหลงคิดว่าโก้ เท่ เจ๋ง และใช้เรียกตนเองหรือคนอื่นอย่างเชิดชู (จะบอกว่าเห็นแล้วหมั่นไส้ ก็คงใช่)
- เป็นคำที่หลาย ๆ ครั้ง หรือหลาย ๆ บริบท ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่ก็ยังดั๊นนนมีคนเอามาใช้

อาจจะหัวโบราณ หรือเชยไปหน่อย แต่บางทีเห็นแล้วก็ข้องใจว่า ทำไมต้องโอตาคุ? ใช้คำว่าแฟนคลับ แฟนเพลง แฟนอนิเม คอเพลง คอการ์ตูน ไม่ได้เหรอ? หรือว่าคำญี่ปุ่นมันโก้หรูหว่า โจ๋กว่า? เลยใช้คำไทยหรืออังกฤษแล้วไม่รู้สึกว่า "เพียงพอ"

บางคนอาจจะบอกว่าอ้าว ก็สมัยนี้สังคมเปิดกว้างแล้ว คำมันเลยเริ่มเปลี่ยนความหมายไป คนบางกลุ่มเริ่มยอมรับได้ ไม่ถือว่ามันเป็นคำแง่ลบแล้ว


อืม แต่ว่า "คนบางกลุ่ม" นั่นก็ไม่ใช่ "สังคมทั่วไป" อยู่ดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องพยายามตะเกียกตะกายไปใช้คำที่มีเพียงคนจำนวนไม่มากที่เข้าใจตรงกับเรา หรือมองคำนี้ว่ามีความหมายแบบเดียวกับที่เราต้องการด้วยล่ะ? เพราะถ้าเป็นตัวเราเอง เราเลือกใช้คำที่เข้าใจตรงกันเป็นส่วนใหญ่มากกว่า หรือไม่ก็เลือกคำที่สื่อความหมายตรงกับที่สังคมวงกว้างใช้กันมานานแล้ว ไม่ใช่ไปเลือกคำที่ความหมายเพิ่งกลายพันธุ์ไปมาใช้แทน เพราะบางคน(และน่าจะมีจำนวนมาก)เขาไม่ได้อัพเดทข้อมูลบ่อย ๆ ขนาดนั้น.... ทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารให้เข้าใจความหมายมันยิ่งลดลงไปอีกโดยใช่เหตุ จริงไหม?

จะว่าเป็นพวกขวางโลกก็ได้ แต่เราเองมักจะไม่เห็นด้วยกับการตามกระแส ตามแฟชั่น (โดยเฉพาะการตามแบบเฮตามคนอื่นไปเรื่อย โดยที่ไม่ได้ดูความเหมาะสม) ก็เลยทำให้รู้สึกคิ้วกระตุก ๆ เวลามีใครมาเที่ยวเรียกคนนู้นคนนี้(แบบเชิดชู)ว่าเป็นโอตาคุ แจ๋ว เจ๋ง แน่....

แล้วก็อย่างที่เคยเขียนไว้ในบล็อกอีกหน้า เรื่อง คำก็โอตาคุ สองคำก็โอตาคุ ว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งแยกขนาดนั้น เพราะขอโทษนะ จำต้องพูดตามความสัตย์จริง ว่าเท่าที่เห็นตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ ในปัจจุบันเนี่ย คนที่แบ่งแยก คือคนที่แบ่งแยกแบบเชิดชูความเป็นโอตาคุ มากกว่าคนที่แบ่งแยกเพราะหยามเหยียด

ถ้าไม่อยากถูกมองว่าแปลกแยก แล้วเราจะแบ่งกลุ่มตัวเองออกไปทำไมล่ะเนี่ย?

ถ้าภูมิใจที่ได้เป็น "อะไร" ที่เรานิยามไว้สวยหรูเองแล้ว จะแคร์ทำไมว่าคนอื่นมองคำ "นิยาม" นั้นว่าอย่างไร?

ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ใช่หรือไม่?

ถ้ากลัวไฟแล้วไซร้ย่อมสำแดงว่าเป็นทองไม่แท้?!

คือคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร จะไม่ชอบ จะมองแง่ลบ หรือจะมีอคติกับคำว่าโอตาคุ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาถ้าเราเป็นคนเอาตัวไปผูกอยู่กับคำว่าโอตาคุเอง

แต่ที่จริง.... ถ้าคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าโอตาคุไม่ดีอย่างงู้นอย่างงี้ เช่น ไม่เอาสังคม ไม่มีสามัญสำนึก พูดจาไม่รู้เรื่อง วัน ๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรก ..... เช่นนั้นแล้ว ใครที่ยังพูดรู้เรื่อง มีสามัญสำนึกดีอยู่ ยังมีสังคมภายนอก หรือไม่ได้หมกมุ่นจนเกินเหตุ ก็ย่อมไม่เข้าข่ายโอตาคุในสายตาของผู้วิจารณ์กลุ่มนั้น ดังนั้นจะมาร้องแรกแหกกระเชอ ว่าคนกลุ่มนั้นวิจารณ์เราเสีย ๆ หาย ๆ หรืออคติ เหยียดหยามเรา รังเกียจเรา แบ่งแยกเรา มันก็ไม่ถูกละ เพราะตัวเองไม่ใช่ ไม่ได้เข้าข่ายที่เขาวิจารณ์เสียหน่อย!

แต่ถ้าคุณเอาตัวเองไปผูก ไปยึดติดไว้กับคำว่าโอตาคุ โดยไม่สนใจ "คุณสมบัติ" ที่คนอื่นเขานิยามให้ ก็กลายเป็นว่าไม่ว่าเขาจะว่าอะไรร้าย ๆ ก็เข้าตัวคุณหมด?!

ถ้าคุณสมบัติของเราไม่เข้าข่าย ไม่สมควรโดนรังเกียจ ก็อย่าเอาตัวเองไปผูกติดกับมันสิคะ

อ้อ แล้วก็อย่าลืมว่า อคติ มี 4 ประเภท

1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก หรือชอบ
2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ หรือเกลียด
3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงผิด หรือไม่รู้ ไม่พิจารณา
4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะเกรงอิทธิพล กลัวเสียผลประโยชน์ หรือกลัวเสียชื่อ

อคติจึงไม่ได้มาจากฝ่ายที่ "ไม่ชอบ" เท่านั้นเสมอไป

สรุปอีกครั้ง Final word... ความเห็นส่วนตัวนะคะ

คนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร จะไม่ชอบ จะมองแง่ลบ จะเลือกแปลแต่ความหมายด้านร้าย หรือจะโทสาคติกับคำว่าโอตาคุ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าเราน่ะแหละที่เป็นคนเอาตัวของเราไปผูกอยู่กับคำว่าโอตาคุเอง

Saturday, June 13, 2009

ซ้ำเติม?

โอ๊ยเบื่อค่ะ คนที่ชอบทำตัวเป็นพ่อพระแม่พระ แล้วบอกว่า "พอเถอะ ใครถูกใครผิดก็อย่าพูดถึงเลย" หรือ "จะไปตำหนิเขาทำไม ซ้ำเติมกันชัด ๆ"

กระแดะค่ะ

โปรดทราบนะคะ คนเราเวลาเกิดปัญหาหรือก่อปัญหาขึ้นมาแล้ว ย่อมต้องมีการพยายามจะแก้ไข แล้วถ้าไม่ขุดให้ลงไปถึงรากของปัญหา ไม่พินิจวิเคราะห์ว่าทำไม เพราะอะไร เหตุใด ปัญหาจึงเกิดขึ้น แล้วเมื่อไหร่มันจะแก้ปัญหาได้ล่ะคะ?

การที่คนอื่นวิจารณ์ด้วยเหตุผล (และข้อเท็จจริง) ว่าเราทำอะไรผิด เราไม่ควรทำอะไร ตำหนิเรา ติเตียนเรา ตักเตือนเรา ไม่ได้หมายความว่าเค้าต้องการซ้ำเติมให้เราล้มแล้วลุกไม่ขึ้น

แต่เค้าอยากให้เมื่อเราลุกได้แล้ว เราจะไม่ล้มอีหรอบเดิม ๆ อีกต่างหาก!

ถ้าไม่รับฟังคำวิจารณ์ ปิดหู ปิดตา มองข้ามความจริงอันโหดร้าย (ที่คนอื่นเอามาประเคนให้) แล้วหันไปฟัง ไปซุกอ้อนอยู่แต่กับกลุ่มคนที่ปลอบใจเรา โอ๋เรา เข้าใจเรา และไม่เค้ยไม่เคยที่จะตำหนิเราเลย....คนเราจะเติบใหญ่ได้หรือคะ?

จะเติบโตได้ต้องรับไว้ทั้งการชมเชยและการติเตียน

การชมเชยมีไว้เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันเมื่อเราทำดี ทำถูก ทำสำเร็จ จะได้มีพลังในการทำสิ่งอื่นที่ดีต่อ ๆ ไป

การติเตียนมีไว้เพื่อสั่งสอนเราให้หลาบจำ ว่าอะไรไม่ควร อะไรที่ทำให้เราพลาด เพื่อที่ในอนาคตเราจะได้ไม่ทำพลาดซ้ำอีก

เด็กที่เลือกกินแต่อาหารที่มีรสชาติดี อาหารที่ตนชอบ กินขนมหวานเพราะอร่อย โดยไม่ยอมกินผักที่ขม ๆ หรือปลาที่คาว ๆ ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์แค่เพราะคิดว่ามันไม่อร่อย ย่อมโตมาเป็นเด็กสุขภาพไม่แข็งแรง และอาจจะขาดสารอาหารด้วย

ชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เปรียบได้เช่นนั้นแหละค่ะ

คนเราไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดพลาด แต่คนที่ผิดพลาดแล้วต่างหาก ที่ต้องเลือกว่าเราจะยอมรับความจริง ยอมรับความผิดพลาดของเรา แล้วน้อมรับฟังความคิดเห็น คำวิจารณ์ คำตำหนิติเตียนไว้ เพื่อนำมาเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงตนเองหรือสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นหรือไม่

ใช่ค่ะอดีตแก้ไขไม่ได้

พูดไปตอนนี้ (หลังจากเกิดความเสียหาย ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว) ก็ไม่ได้ช่วยให้อดีตดีขึ้น และไม่ได้ช่วยให้ปัญหาหายไป

แต่ก็เพราะว่าคนเราแก้ไขอดีตไม่ได้น่ะสิคะ ถึงต้องมีการวิจารณ์เกิดขึ้น!

เพื่อนำมาปฏิบัติในปัจจุบัน และส่งเสริมอนาคตให้ดีกว่าอดีต!!!!

ถ้ามีใครติเพื่อก่อ ให้เหตุผลตามความเป็นจริง พูดเรื่องจริง ต่อให้มันทิ่มแทง เสียดแทงใจคุณ แต่ในเมื่อคุณทำผิดจริง ๆ คุณก็ควรจะรับมันไว้ และนำมาปรับปรุงตนเองต่อไป

แต่ที่แย่สำหรับผู้ทำผิดพลาด บางครั้งก็ไม่ใช่ตัวเอง แต่อาจเป็นคนรอบข้างที่โอ๋จนเกินเหตุ พอมีใครมาบอกความจริง มาวิจารณ์ตรง ๆ มาติเตียน ก็ตั้งป้อมต่อว่า หาว่าคนอื่นซ้ำเติม เหยียบย่ำ แล้วคนโอ๋ก็ช่วยกันปิดหูปิดตา โอบอุ้มคนผิดพลาดให้อยู่ในโลกจอมปลอมของการปลอบใจต่อไป

ถ้ามีแต่คนมาชี้ด่า หาว่าเหยียบย่ำ ซ้ำเติม อีกหน่อยก็จะไม่มีใครกล้าวิจารณ์ ไม่มีใครกล้าติ เมื่อไม่มีการติ ก็ไม่มีใครชี้ให้เห็นถึงข้อเสียหรือสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วมนุษยชาติก็จะไม่เจิญก้าวหน้า....

เพื่อนแท้ไม่ใช่คนที่ยิ้มให้เราทุกสถานการณ์ แต่คือคนที่ยอมบึ้งตึงใส่เราเมื่อเห็นว่าเรามีข้อเสีย และยอมตักเตือนเราเพื่อให้เราปรับปรุงตน แทนที่จะปล่อยให้ข้อเสียของเราคาราคาซังอยู่แบบนั้นโดยแสร้งทำเป็นลืมหรือมองไม่เห็น

คำพังเพยไทยยังใช้ได้อยู่นะคะ....
"หวานเป็นลม ขมเป็นยา"

นี่แหละค่ะคือมุมมองของฉันในเรื่องนี้