Sunday, June 28, 2009

คำแนะนำเชิงบวก เชิงลบ

ไปมุงกระทู้นี้มา
การแปลเมนูอาหารภาษาอังกฤษ (น่ากลัวมาก) - 0 -
http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D8008332/D8008332.html

ก็ขำอ่ะ ขำจนน้ำตาเล็ดเลย หลาย ๆ อย่างมันแบบว่า "คิดได้ไง" หรือไม่ก็ "โอ๊ย ทำไปได้!" แล้วพออ่านเลื่อน ๆ ลงมาดู ก็สะดุดกับความเห็นหนึ่ง ที่พูดประมาณว่า "มันจะสร้างสรรค์กว่ามั้ย ถ้าเอาเวลามาช่วยบอกคำแปลที่ถูกต้องเอาไว้ แทนที่จะมานั่งหัวเราะกัน" กับอีกคนบอกประมาณว่า ที่เราหัวเราะกันเนี่ยก็เหมือนว่าคนเขียนเมนู เหมือนห้ามว่าถ้าพูดผิดก็อย่าพูด แบบนี้ใครจะกล้าพูดกล้าฝึก บลา ๆ ๆ

โถ.... คิดไกลเหลือเกิน

แถมยังใช้คำพูดสะกิดเชิงลบอีกต่างหาก อ่านแล้วไม่ชวนให้คล้อยตามเลยขอบอก

หนึ่งคือ กระทู้นี้เจ้าของกระทู้เจอ fwd mail ที่มีรูปเมนูที่แปลผิดทำนองว่าซับนรก เลยเอามาแชร์กันให้ขำเฉย ๆ เจ้าของกระทู้ไม่ได้เป็นคนเขียน และไม่ได้มาขอคำแนะนำ ย่อมไม่แปลกที่คนอ่านและคนตอบจะเน้นไปทางฮาและขำ และไม่มีใครแนะนำ

ถ้าเจ้าของกระทู้ลองบอกว่า ผมแปลได้แค่นี้ แต่อยากได้คำแนะนำว่าถูกผิดยังไง ใครรู้ช่วยแก้ไขที มีหรือคนเค้าจะหัวเราะ จะมีแต่คนช่วยน่ะสิ

สองคือ ถ้าอยากให้คนอ่านหรือคนตอบคนอื่น ๆ ช่วยกันแนะนำคำที่ถูกต้อง มันไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดที่ตัดพ้อแบบนี้ เพราะมันอ่านแล้วมี negative tone เหมือนตำหนิคนอื่นก่อนแล้วค่อยขอความช่วยเหลือ เหมือนกล่าวหาว่าเค้าแล้งน้ำใจ ดูดาย ไม่ช่วยเหลือคนอื่น แบบนี้คนบางคน (เช่น คนหัวดื้อแบบเรา) อาจจะรู้สึกไม่อยากช่วยขึ้นมา

สมมตินะ

ถ้ามีเพื่อนเอารูปมาให้ดู แล้วบอกว่า เป็นไง รูปชั้น วาดดีหรือยัง แกชอบป่ะ
เราตอบว่า ไม่ดี ไม่สวย ไม่ชอบ
เพื่อนงอน แล้วบอกว่า "มันจะสร้างสรรค์กว่าป่ะ ถ้าแกแนะนำเราว่าควรแก้ไขตรงไหน แทนที่จะว่าว่าไม่สวย ไม่ชอบ"

เออ ก็เอ็งไม่ได้บอกว่าต้องการคำแนะนำ แล้วตูจะรู้ได้ไง....

คำพูดชวนปีนเกลียวมากเจ้าค่ะ

คำพูดนี้ยังทำให้เป็นเชิงบวกได้ ด้วยการบอกว่า
"อ้าวเหรอ ยังไม่ดีเหรอ มีตรงไหนที่ชั้นควรแก้บ้าง ลองแนะนำหน่อยดิ"

สำหรับเรา เราคิดว่าการที่จะให้คนอื่นช่วยเหลืออะไร หรือเวลาเราจะขอความร่วมมือจากเค้า หรือแม้แต่จะแนะนำอะไรที่มีประโยชน์ให้คนอื่นทำตาม เราควรจะใช้คำพูดในเชิงบวก ซึ่งนอกจากจะเป็นการถนอมน้ำใจอีกฝ่ายแล้ว ยังจะทำให้เค้ามีแนวโน้มที่จะให้ความร่วมมือมากขึ้นด้วย

ยกตัวอย่าง

คุณพ่อคนหนึ่งยกของหนัก ลูกชายนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ช่วยอะไร เพราะพ่อไม่ได้เรียกให้ช่วย
คุณแม่เดินมาเห็นเข้า ก็บอกว่า
Choice 1.
"เป็นง่อยเหรอ เห็นพ่อยกของหนักทำไมไม่รู้จักช่วย"

Choice 2.
"เฮ้อ บ้านคงน่าอยู่กว่านี้ ถ้าลูกรู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือพ่อบ้าง"

Choice 3.
"อ้าว ลูกอยู่ตรงนี้เหรอ พ่อยกของหนักน่ะ ช่วยหน่อยสิลูก"

แบบไหนที่ชวนให้ลูกคล้อยตามได้มากกว่ากัน?

หรืออีกตัวอย่าง...

เพื่อนกำลังทำงานศิลปะอยู่ แล้วเราไปเห็นเข้า รู้สึกคันปากอยากบอกให้เพื่อนแก้งาน

Choice 1.
"อี๋ แกลงสียังไงนั่นน่ะ น่าเกลียดเชียว ใช้ไม่ได้เลย เปลี่ยนเป็นสีนี้ดีกว่านะ"

Choice 2.
"โห นี่สาบานนะว่าใช้มือทำ ทำได้แค่เนี้ยเหรอ ทำไมไม่ทำแบบนี้ ๆ ๆ"

Choice 3.
"เออนี่ เราว่าสีตรงนี้มันจัดไปหน่อยนะ ลองลดให้อ่อนลงน่าจะดี หรือลองสีนี้เป็นไง"

แบบที่ 3 เพื่อนน่าจะรับฟังได้มากกว่า ส่วนอีก 2 แบบ ปากคนพูดอาจจะมีสี(แดง)เสียเอง


จะเห็นได้ว่าการไม่ได้ขอร้องหรือสั่งโดยตรง แต่ใช้คำพูดต่อว่าซึ่งหน้าในเชิงตำหนิ มันชวนให้โมโหมากกว่าชวนให้ทำตาม หรือถึงไม่ต่อว่าซึ่งหน้า แต่เปรยลอย ๆ เสียดสีในเชิงลบให้กระทบหู ก็ชวนให้ขัดเคืองใจอยู่ดี สู้ขอหรือบอกไปตรง ๆ เลยว่าต้องการให้ช่วย ยังน่าจะได้ผลดีกว่า

กระทู้นั้นก็เหมือนกัน ถ้าอยากให้คนอื่นแนะนำ ก็น่าจะบอกไปตรง ๆ เลยว่า "ผมอยากให้เพื่อน ๆ ช่วยกันแนะนำครับ ว่าควรแปลอย่างไรบ้าง เผื่อจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ ต่อไป" หรือ "ฉันอยากรู้ค่ะว่าควรใช้คำว่าอะไรบ้างถึงจะถูก เพราะเป็นคนอ่อนภาษาอังกฤษ" แค่นี้คงพูดไม่ยาก.... แต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องเกริ่นนำในเชิงตำหนิคนอื่นก่อน

คนประเภทโคนันทวิสารมีอยู่มากมายนัก การเลือกใช้คำให้เป็นเชิงบวกจึงเป็นสิ่งสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะการพูดดี ย่อมเป็นผลดีกับทั้งคนพูดและคนฟัง

Sunday, June 21, 2009

ก็น้องเสือกต่อคิวช้าเอง

*update*
คุณหนุ่ยกลับมาตอบและชี้แจงเรื่องคำตอบที่ไม่เหมาะสมนี้แล้ว และเรา ในฐานะที่เป็นแค่คนอ่าน ไม่ได้เป็นคนโดนว่า รู้สึกว่ายอมรับได้ และไม่ค้างคาใจแล้วค่ะ

--------------------------------------------

อึ้ง.......

สมองปั่นป่วน

งง.......

เค้าพูด(พิมพ์)แบบนี้ออกมาเลยเหรอ???

ทำไม เราถึงเสียใจขนาดนี้.... เมื่อวานนี้เรายังสนุกอยู่เลย แล้วยังรู้สึกดี ๆ อยู่จนถึงเมื่อกี้ แต่ข้อความที่เราเห็นทำให้หัวใจที่พองโตของเราฟีบลงไปทันที

อยากตอบ แต่ไม่กล้า

สงสารเค้ามั้ง....
คิดว่าเค้าคงจะเหนื่อย และหงุดหงิดตามประสาคนที่เครียดและอ่อนเพลียกับงานใหญ่ หรือไม่ก็ เราก็ไม่อยากเชื่อว่าที่มาเขียนแบบนั้นคือตัวจริง

สุดท้ายคิดไปคิดมาก็ไม่ตอบดีกว่า เดี๋ยวจะบั่นทอนกำลังใจใครเขาเปล่า ๆ

เอ หรือที่จริงแล้วเราอยากหลอกตัวเองว่าเค้าไม่ได้เจตนาเขียนแบบนั้น เลยไม่อยากแสดงตนว่ารู้เห็น

โอย เศร้า....

คิดวนไปวนมา....
ถ้าเป็นมิตรกันจริงควรติเตียนและตักเตือนใช่ไหม??

แต่เราไม่ได้สนิทกับเค้า แถมยังเด็กกว่า (น่าจะ) จะไปพูดอะไรในที่สาธารณะอย่างข่าวในเว็บแบบนั้นเค้าก็จะเสียหน้า

ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี

เรารู้สึกดี ๆ กับงาน ประทับใจ ชอบ ชื่นชม
ความรู้สึกเหล่านั้นมันคงไม่เปลี่ยนไป

เพียงแต่ตอนนี้มีอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมา นั่นคือ รู้สึกว่าเค้าใจร้าย และไม่ถนอมน้ำใจคนอื่น แม้แต่ลูกค้าที่อุดหนุนซื้อตั๋วของเค้า

เสียใจอ่ะ....

ที่พิมพ์ไว้ว่าจะตอบ อยากตอบ ก็ไม่ได้กดตอบไป เก็บมาแปะแอบซ่อนไว้ในมุมมืดแห่งหนึ่งแทนก็แล้วกัน

-------------------------------------------------------

แรงไปมั้งคะ....
อ่านแล้วสะอึกเลยนะเนี่ย

ก็ เพราะคนต่อคิว เค้าเชื่อฟังสต๊าฟงาน พอสต๊าฟบอกให้ตั้งแถว เค้าก็ยอมต่อคิว แบบไม่เบียด ไม่แซง แถวยาวเป็นงูเลื้อยลงไปถึงชั้นล่าง ก็ต่อแถวอย่างมีระเบียบไม่ใช่หรือคะ ทำให้ต้องเกิดมีคนที่โชคไม่ดีไปอยู่ท้ายแถวขึ้น จนไม่ได้ลายเซ็น
จะไปว่าว่าเขาเจือกต่อแถวช้าเองแบบนี้มันไม่ถูกนะคะ

หรือ ว่าออพชั่นที่ดีกว่าคือดื้อด้าน ไม่ต่อแถว ไม่ทำตามที่สต๊าฟขอ แล้วก็ไปเบียด ๆ แซง ๆ คนอื่น เพื่อขึ้นไปอยู่ข้างหน้า เพื่อให้ได้ลายเซ็นคะ?

ไม่จริงใช่มั้ยคะ?

คุณหนุ่ยเคยบอกว่า คำบางคำ บางประโยคมันทำร้ายจิตใจคนเรา ทำลายกำลังใจคนเราได้ เพราะคุณหนุ่ยเองก็เคยโดนมา ใช่หรือไม่คะ? แล้วทำไมยังใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นได้แบบนี้ล่ะคะ?

คนนี้เค้าก็แค่บอกเล่า ไม่ได้เอะอะโวยวายหรือต่อว่า ด่าทอสต๊าฟนะคะ
ก็แค่เล่าให้ฟัง ว่าไม่ได้ลายเซ็น เพราะโดนกันให้ออก
แบบนี้แค่คุณหนุ่ยชี้แจงดี ๆ ด้วยเหตุผลก็พอมั้งคะ

ส่วน เรื่องกติกงกติกาอะไรนั่น ถ้ามีก็ต้องเคารพกติกาค่ะ แต่พอดีเราเองไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีกติกาแบบนี้ (หรื่องกำหนดเวลา) ก็เลยไม่ทราบว่าทุกคนได้รับทราบกติกากันทั่วถึงแล้วหรือยัง การที่คาดหวัง แล้วผิดหวัง เป็นความผิดของคนหวังเอง ที่ไม่รู้ล่วงหน้าใช่หรือไม่?

คราวก่อนที่งาน TGS ทางสต๊าฟก็เข้ามาปิดท้ายแถวนี่คะ ว่า ตัดแถวแค่นี้นะครับ หลังจากนี้ไม่ให้ต่อแถวแล้ว จบ พอ ให้ศิลปินได้พัก
ถ้า รู้ล่วงหน้าแบบนี้ กั้นท้ายแถวไปเลยแบบนี้ มันเห็น ๆ อยู่แล้วอ่ะค่ะว่าเหตุผลเป็นยังไง ทุกคนก็คงจะทำตามโดยไม่บ่นไม่งอแง และที่สำคัญคือไม่เสียความรู้สึก

ถ้าจะให้หยุดตามที่กติกากำหนด น่าจะแจ้งให้ทราบโดนทั่วถึงนะคะ จะได้ไม่มีใครบ่น และจะได้ไม่มีใครเข้าแถวให้เมื่อยเสียเที่ยว
เพราะถ้าเป็นเรา ลองเข้าแถวเป็นชั่วโมง ๆ แล้วสุดท้ายไม่ได้ลายเซ็นตามที่นึกฝันว่าจะได้ ก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดาค่ะ

อ่านความเห็นของคุณหนุ่ยแล้ว เจ็บในหัวอกจริง ๆ เลย....
(ขนาดว่าเราได้ลายเซ็นนะ ไม่ได้โดนตัดออกเพราะหมดเวลาอย่างคนที่คุณหนุ่ยว่า)

เข้าใจค่ะว่าเหนื่อย เจอคนบ่นก็คงอารมณ์ไม่ดี
แต่เรื่องแบบนี้ชี้แจงกันดี ๆ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดจะดีกว่ากับทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือคะ?

Tuesday, June 16, 2009

เชิดชูหรือหยามเหยียด?

คำจำกัดความ.... ที่มีใครสักคน หรือหลาย ๆ คน (หรือ....คนหลาย ๆ กลุ่ม) บัญญัติขึ้น และใช้เรียกตนเองหรือผู้อื่น มันช่างวุ่นวายซับซ้อนจริง ๆ

ช่วงนี้ก็มีประเด็นร้อนว่าด้วยคำว่า โอตาคุ (Otaku) อยู่ในบอร์ด

เอ่อ ที่จริงมันก็มีกระทู้เรื่องคำว่าโอตาคุอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ตัวคำศัพท์ คำว่า "โอตาคุ" หรือวิจารณ์ตัวบุคคล ที่ถูกขนานนามว่าโอตาคุ

แต่หนนี้ดูเหมือนมันจะวุ่นและร้อนกว่าเดิม เพราะเป็นกระทู้ของดันไบน์ยอดนักกิน (เอ๊ะ เหมือนจะไม่เกี่ยว?)

คือมันฮ็อตเพราะกระทู้ดูมีความเกี่ยวเนื่องกับอีกกระทู้นึงใน pantip

ส่วนตัวแล้วสำหรับกระทู้โหวตของดันไบน์เรื่องความหมายของคำว่าโอตาคุ.... เรารู้สึกว่า

- เป็นคำที่คนไทยนำมาใช้เกร่อเกินไป (แอบเบื่อเป็นการส่วนตัว ว่างั้นเถอะ ฮ่า ๆ)
- เป็นคำที่คนหลายคนเพิกเฉยต่อความหมายดั้งเดิมในภาษาต้นฉบับ แล้วนำมาใช้แบบหลงผิดอยู่มาก
- เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เป็น brand name เพื่อการโฆษณามากเกินไป
- เป็นคำที่บางคนหลงคิดว่าโก้ เท่ เจ๋ง และใช้เรียกตนเองหรือคนอื่นอย่างเชิดชู (จะบอกว่าเห็นแล้วหมั่นไส้ ก็คงใช่)
- เป็นคำที่หลาย ๆ ครั้ง หรือหลาย ๆ บริบท ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่ก็ยังดั๊นนนมีคนเอามาใช้

อาจจะหัวโบราณ หรือเชยไปหน่อย แต่บางทีเห็นแล้วก็ข้องใจว่า ทำไมต้องโอตาคุ? ใช้คำว่าแฟนคลับ แฟนเพลง แฟนอนิเม คอเพลง คอการ์ตูน ไม่ได้เหรอ? หรือว่าคำญี่ปุ่นมันโก้หรูหว่า โจ๋กว่า? เลยใช้คำไทยหรืออังกฤษแล้วไม่รู้สึกว่า "เพียงพอ"

บางคนอาจจะบอกว่าอ้าว ก็สมัยนี้สังคมเปิดกว้างแล้ว คำมันเลยเริ่มเปลี่ยนความหมายไป คนบางกลุ่มเริ่มยอมรับได้ ไม่ถือว่ามันเป็นคำแง่ลบแล้ว


อืม แต่ว่า "คนบางกลุ่ม" นั่นก็ไม่ใช่ "สังคมทั่วไป" อยู่ดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องพยายามตะเกียกตะกายไปใช้คำที่มีเพียงคนจำนวนไม่มากที่เข้าใจตรงกับเรา หรือมองคำนี้ว่ามีความหมายแบบเดียวกับที่เราต้องการด้วยล่ะ? เพราะถ้าเป็นตัวเราเอง เราเลือกใช้คำที่เข้าใจตรงกันเป็นส่วนใหญ่มากกว่า หรือไม่ก็เลือกคำที่สื่อความหมายตรงกับที่สังคมวงกว้างใช้กันมานานแล้ว ไม่ใช่ไปเลือกคำที่ความหมายเพิ่งกลายพันธุ์ไปมาใช้แทน เพราะบางคน(และน่าจะมีจำนวนมาก)เขาไม่ได้อัพเดทข้อมูลบ่อย ๆ ขนาดนั้น.... ทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารให้เข้าใจความหมายมันยิ่งลดลงไปอีกโดยใช่เหตุ จริงไหม?

จะว่าเป็นพวกขวางโลกก็ได้ แต่เราเองมักจะไม่เห็นด้วยกับการตามกระแส ตามแฟชั่น (โดยเฉพาะการตามแบบเฮตามคนอื่นไปเรื่อย โดยที่ไม่ได้ดูความเหมาะสม) ก็เลยทำให้รู้สึกคิ้วกระตุก ๆ เวลามีใครมาเที่ยวเรียกคนนู้นคนนี้(แบบเชิดชู)ว่าเป็นโอตาคุ แจ๋ว เจ๋ง แน่....

แล้วก็อย่างที่เคยเขียนไว้ในบล็อกอีกหน้า เรื่อง คำก็โอตาคุ สองคำก็โอตาคุ ว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งแยกขนาดนั้น เพราะขอโทษนะ จำต้องพูดตามความสัตย์จริง ว่าเท่าที่เห็นตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ ในปัจจุบันเนี่ย คนที่แบ่งแยก คือคนที่แบ่งแยกแบบเชิดชูความเป็นโอตาคุ มากกว่าคนที่แบ่งแยกเพราะหยามเหยียด

ถ้าไม่อยากถูกมองว่าแปลกแยก แล้วเราจะแบ่งกลุ่มตัวเองออกไปทำไมล่ะเนี่ย?

ถ้าภูมิใจที่ได้เป็น "อะไร" ที่เรานิยามไว้สวยหรูเองแล้ว จะแคร์ทำไมว่าคนอื่นมองคำ "นิยาม" นั้นว่าอย่างไร?

ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ใช่หรือไม่?

ถ้ากลัวไฟแล้วไซร้ย่อมสำแดงว่าเป็นทองไม่แท้?!

คือคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร จะไม่ชอบ จะมองแง่ลบ หรือจะมีอคติกับคำว่าโอตาคุ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาถ้าเราเป็นคนเอาตัวไปผูกอยู่กับคำว่าโอตาคุเอง

แต่ที่จริง.... ถ้าคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าโอตาคุไม่ดีอย่างงู้นอย่างงี้ เช่น ไม่เอาสังคม ไม่มีสามัญสำนึก พูดจาไม่รู้เรื่อง วัน ๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรก ..... เช่นนั้นแล้ว ใครที่ยังพูดรู้เรื่อง มีสามัญสำนึกดีอยู่ ยังมีสังคมภายนอก หรือไม่ได้หมกมุ่นจนเกินเหตุ ก็ย่อมไม่เข้าข่ายโอตาคุในสายตาของผู้วิจารณ์กลุ่มนั้น ดังนั้นจะมาร้องแรกแหกกระเชอ ว่าคนกลุ่มนั้นวิจารณ์เราเสีย ๆ หาย ๆ หรืออคติ เหยียดหยามเรา รังเกียจเรา แบ่งแยกเรา มันก็ไม่ถูกละ เพราะตัวเองไม่ใช่ ไม่ได้เข้าข่ายที่เขาวิจารณ์เสียหน่อย!

แต่ถ้าคุณเอาตัวเองไปผูก ไปยึดติดไว้กับคำว่าโอตาคุ โดยไม่สนใจ "คุณสมบัติ" ที่คนอื่นเขานิยามให้ ก็กลายเป็นว่าไม่ว่าเขาจะว่าอะไรร้าย ๆ ก็เข้าตัวคุณหมด?!

ถ้าคุณสมบัติของเราไม่เข้าข่าย ไม่สมควรโดนรังเกียจ ก็อย่าเอาตัวเองไปผูกติดกับมันสิคะ

อ้อ แล้วก็อย่าลืมว่า อคติ มี 4 ประเภท

1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก หรือชอบ
2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ หรือเกลียด
3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงผิด หรือไม่รู้ ไม่พิจารณา
4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะเกรงอิทธิพล กลัวเสียผลประโยชน์ หรือกลัวเสียชื่อ

อคติจึงไม่ได้มาจากฝ่ายที่ "ไม่ชอบ" เท่านั้นเสมอไป

สรุปอีกครั้ง Final word... ความเห็นส่วนตัวนะคะ

คนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร จะไม่ชอบ จะมองแง่ลบ จะเลือกแปลแต่ความหมายด้านร้าย หรือจะโทสาคติกับคำว่าโอตาคุ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าเราน่ะแหละที่เป็นคนเอาตัวของเราไปผูกอยู่กับคำว่าโอตาคุเอง

Saturday, June 13, 2009

ซ้ำเติม?

โอ๊ยเบื่อค่ะ คนที่ชอบทำตัวเป็นพ่อพระแม่พระ แล้วบอกว่า "พอเถอะ ใครถูกใครผิดก็อย่าพูดถึงเลย" หรือ "จะไปตำหนิเขาทำไม ซ้ำเติมกันชัด ๆ"

กระแดะค่ะ

โปรดทราบนะคะ คนเราเวลาเกิดปัญหาหรือก่อปัญหาขึ้นมาแล้ว ย่อมต้องมีการพยายามจะแก้ไข แล้วถ้าไม่ขุดให้ลงไปถึงรากของปัญหา ไม่พินิจวิเคราะห์ว่าทำไม เพราะอะไร เหตุใด ปัญหาจึงเกิดขึ้น แล้วเมื่อไหร่มันจะแก้ปัญหาได้ล่ะคะ?

การที่คนอื่นวิจารณ์ด้วยเหตุผล (และข้อเท็จจริง) ว่าเราทำอะไรผิด เราไม่ควรทำอะไร ตำหนิเรา ติเตียนเรา ตักเตือนเรา ไม่ได้หมายความว่าเค้าต้องการซ้ำเติมให้เราล้มแล้วลุกไม่ขึ้น

แต่เค้าอยากให้เมื่อเราลุกได้แล้ว เราจะไม่ล้มอีหรอบเดิม ๆ อีกต่างหาก!

ถ้าไม่รับฟังคำวิจารณ์ ปิดหู ปิดตา มองข้ามความจริงอันโหดร้าย (ที่คนอื่นเอามาประเคนให้) แล้วหันไปฟัง ไปซุกอ้อนอยู่แต่กับกลุ่มคนที่ปลอบใจเรา โอ๋เรา เข้าใจเรา และไม่เค้ยไม่เคยที่จะตำหนิเราเลย....คนเราจะเติบใหญ่ได้หรือคะ?

จะเติบโตได้ต้องรับไว้ทั้งการชมเชยและการติเตียน

การชมเชยมีไว้เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันเมื่อเราทำดี ทำถูก ทำสำเร็จ จะได้มีพลังในการทำสิ่งอื่นที่ดีต่อ ๆ ไป

การติเตียนมีไว้เพื่อสั่งสอนเราให้หลาบจำ ว่าอะไรไม่ควร อะไรที่ทำให้เราพลาด เพื่อที่ในอนาคตเราจะได้ไม่ทำพลาดซ้ำอีก

เด็กที่เลือกกินแต่อาหารที่มีรสชาติดี อาหารที่ตนชอบ กินขนมหวานเพราะอร่อย โดยไม่ยอมกินผักที่ขม ๆ หรือปลาที่คาว ๆ ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์แค่เพราะคิดว่ามันไม่อร่อย ย่อมโตมาเป็นเด็กสุขภาพไม่แข็งแรง และอาจจะขาดสารอาหารด้วย

ชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เปรียบได้เช่นนั้นแหละค่ะ

คนเราไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดพลาด แต่คนที่ผิดพลาดแล้วต่างหาก ที่ต้องเลือกว่าเราจะยอมรับความจริง ยอมรับความผิดพลาดของเรา แล้วน้อมรับฟังความคิดเห็น คำวิจารณ์ คำตำหนิติเตียนไว้ เพื่อนำมาเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงตนเองหรือสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นหรือไม่

ใช่ค่ะอดีตแก้ไขไม่ได้

พูดไปตอนนี้ (หลังจากเกิดความเสียหาย ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว) ก็ไม่ได้ช่วยให้อดีตดีขึ้น และไม่ได้ช่วยให้ปัญหาหายไป

แต่ก็เพราะว่าคนเราแก้ไขอดีตไม่ได้น่ะสิคะ ถึงต้องมีการวิจารณ์เกิดขึ้น!

เพื่อนำมาปฏิบัติในปัจจุบัน และส่งเสริมอนาคตให้ดีกว่าอดีต!!!!

ถ้ามีใครติเพื่อก่อ ให้เหตุผลตามความเป็นจริง พูดเรื่องจริง ต่อให้มันทิ่มแทง เสียดแทงใจคุณ แต่ในเมื่อคุณทำผิดจริง ๆ คุณก็ควรจะรับมันไว้ และนำมาปรับปรุงตนเองต่อไป

แต่ที่แย่สำหรับผู้ทำผิดพลาด บางครั้งก็ไม่ใช่ตัวเอง แต่อาจเป็นคนรอบข้างที่โอ๋จนเกินเหตุ พอมีใครมาบอกความจริง มาวิจารณ์ตรง ๆ มาติเตียน ก็ตั้งป้อมต่อว่า หาว่าคนอื่นซ้ำเติม เหยียบย่ำ แล้วคนโอ๋ก็ช่วยกันปิดหูปิดตา โอบอุ้มคนผิดพลาดให้อยู่ในโลกจอมปลอมของการปลอบใจต่อไป

ถ้ามีแต่คนมาชี้ด่า หาว่าเหยียบย่ำ ซ้ำเติม อีกหน่อยก็จะไม่มีใครกล้าวิจารณ์ ไม่มีใครกล้าติ เมื่อไม่มีการติ ก็ไม่มีใครชี้ให้เห็นถึงข้อเสียหรือสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วมนุษยชาติก็จะไม่เจิญก้าวหน้า....

เพื่อนแท้ไม่ใช่คนที่ยิ้มให้เราทุกสถานการณ์ แต่คือคนที่ยอมบึ้งตึงใส่เราเมื่อเห็นว่าเรามีข้อเสีย และยอมตักเตือนเราเพื่อให้เราปรับปรุงตน แทนที่จะปล่อยให้ข้อเสียของเราคาราคาซังอยู่แบบนั้นโดยแสร้งทำเป็นลืมหรือมองไม่เห็น

คำพังเพยไทยยังใช้ได้อยู่นะคะ....
"หวานเป็นลม ขมเป็นยา"

นี่แหละค่ะคือมุมมองของฉันในเรื่องนี้

Friday, June 12, 2009

คำก็โอตาคุ สองคำก็โอตาคุ!

ไปมุงกระทู้ pantip มาอีกแล้วค่ะ โอ๊ยขัดใจมากมาย

ถูกใจหลาย ๆ ความเห็น ที่ร่วมชี้แนะ(หรือวิจารณ์)อย่างสุภาพและมีเหตุผล บางอันน่าให้กิ๊ฟมาก ๆ แต่ช่างเป็นที่ทรมานใจเหลือเกินเพราะกิ๊ฟของเดือนมิถุนายนนี่หมดไปตั้งแต่ต้นเดือนแล้วค่ะ เหอะ ๆ (ประมาณว่าหมดตั้งแต่วันที่ 2....) และบางข้อความก็ช่างทำให้ขัดใจเป็นยิ่งนัก!

ก่อนอื่นก็ คำว่าเจ๊ง เจ๊งค่ะ เจ๊ง! เจ๊งที่แปลว่า ล่ม ล้ม พัง มันสะกดแบบนี้ คือใช้ไม้ตรีค่ะท่านผู้ชม

แล้วก็คำว่า บริษัท.... เข้าใจว่าเผลอจิ้มคีย์บอร์ดผิด แต่อะไรมันจะผิดได้ในทุกประโยคที่กล่าวถึงคะเนี่ย คีย์ไม้หันอากาศก็ไม่ได้เสีย (สังเกตจากคำอื่น ๆ สามารถใช้ไม้หันอากาศได้ตามปรกติ)

ถ้าเป็น Chat ที่พิมพ์สด กด enter สด ก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ คนเรามันเผลอผิดกันได้ เราเองก็จิ้มผิด พิมพ์พลาด หรือกด shift ผิดจังหวะบ่อย ๆ แต่นี่โพสต์กระทู้แท้ ๆ ก็ยังผิดซ้ำซากหลายรีพลายได้

ยังมีอีกคำ แต่คำนี้เห็นคนอื่นสะกดผิดบ่อยเหมือนกัน คือคำว่า โอกาส ซึ่งเผลอใช้ ศ. สะกดแทน

อ่านแล้วหงุดหงิดในหัวใจ ตามประสาคนทำงานกับตัวอักษรค่ะ

(และตามประสาคนประเภท "เรารักภาษาไทย" ก็อยากติงมาก ๆ เลยนะ ถ้าสนิทกันคงเตือนแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ซี้กัน ไม่ถือ แต่แบบ....เราไม่รู้จักมักจี่อะไรเค้าเลย ไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน จะไปละลาบละล้วงท้วงเค้าเรื่องการพิมพ์ผิดหรือการสะกดผิดก็รู้สึกว่ามันจะจาบจ้วงเกินไป เดี๋ยวจะมีคนอื่นมองว่าจับผิดไม่เข้าท่า - สรุปคือกลัวเสียภาพลักษณ์เลยไม่เตือน เงิก.... เห็นแก่ตัวไปมั้ยนี่?)

ปัญหานอกเรื่องหมดไป มาถึงปัญหาของเนื้อหาในกระทู้....

ก่อนอื่นอยากบอกว่ากระทู้นั้นมีคนเข้ามารติเพื่อก่อมากมาย ซึ่งน่าจะมีประโยชน์ในอนาคตสำหรับทีมงาน เพราะคนเราย่อมเรียนรู้จากความผิดพลาด และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับปรุงปัจจุบันเพื่อให้อนาคตดีขึ้น

ก็ดีค่ะ ความเห็นหลาย ๆ ความเห็นก็มีประโยชน์ดี

แต่ตงิด ๆ รำคาญคำว่า Otaku ค่ะ

คำนี้ปัจจุบันนำมาใช้กันเกร่อเกินไป และบางครั้งดูยัดเยียด ๆ ยังไงบอกไม่ถูก (โดยเฉพาะในกระทู้บางกระทู้ของ pantip รู้สึกจะเชิดชูบูชาคำว่าโอตาคุกันซะจนเลิศลอยเหลือเกิน) บางทีก็เอามาใช้เรียกคนอื่นเหมือนเป็นคำสรรเสริญ.... เห็นแล้วปวดขมับค่ะ

คือจริง ๆ คนเราใครจะเป็นโอตาคุหรือไม่เป็น ตัวเองหรือคนรอบข้างอาจจะรู้ดีที่สุด และใครจะมองคำว่าโอตาคุยังไง ก็คงเป็นทัศนคติส่วนตัวของคนนั้น แต่อย่าลืมนะคะว่าคนเราไม่ได้มองทุกอย่างเหมือนกันหมด บางคนที่ชอบคำว่าโอตาคุ รู้สึกว่ามันโก้ดี แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร โดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง คนอื่นอาจจะไม่มองคำคำนี้อย่างที่คุณมองก็ได้!

สำหรับเราคำว่า Otaku นี่มันกินดีกรีหนักกว่าเป็นแค่ geek หรือ nerd ธรรมดา ๆ ถ้าให้เทียบกับภาษาอังกฤษ ก็คงประมาณเกือบ ๆ พวก no life

ซึ่ง No life ในภาษาอังกฤษหมายความถึงพวกที่หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรก (ส่วนมากหมายถึงเกม โดยเฉพาะเกมออนไลน์ หรือหมายถึงโลกไซเบอร์ จำพวกเว็บบอร์ด) จนไม่มี "ชีวิต" ในโลกจริง คือหมกตัวอยู่แต่ในโลกออนไลน์ วัน ๆ เฝ้าแต่เว็บบอร์ด หรือคอยรีเฟรชกระทู้เพื่อรีบตอบอย่างฉับพลัน ซึ่งคำด่าที่คนอื่นจะงัดออกมาใช้ก็คือ "Get a life" ความหมายก็คือประมาณว่า "มึงช่วยไสหัวไปแล้วไปหาอะไรทำนอกจอเถอะ กูรำคาญมึง"

และส่วนมากคนที่จะโดนว่าขนาดนี้ ต้องทำตัวงี่เง่าในระดับหนึ่ง เช่นยึดติดกับของหรือชื่อเสียงออนไลน์มากเกินไป ทำตัวงอแง ขี้วีน จองล้างจองผลาญอีกฝ่าย (ที่เป็นแค่ชื่อสมมติในเว็บ หรือตัวละครสมมติในเกม) แล้วทำตัวเหมือนวัน ๆ ว่างมาก คอยที่จะตอแยอีกฝ่ายอยู่เนือง ๆ หรือไม่ก็เป็นพวกอวดโอ่ โอหังด้วยศักดาออนไลน์ของคน ว่าข้าแน่ ข้าเจ๋ง (ประมาณว่ามี e-peen เยอะ โม้ทับถมคนอื่น) พวกนี้ก็อาจถูกตราหน้าว่า no life ได้เช่นกัน

ซึ่งคนเราถ้าถึงขั้นเพื่อนว่า หรือคนอื่นด่าว่าเป็นพวก No life, หรือว่าใส่หน้าว่า "You have no life." ไม่ก็ไล่เราให้ Get a life นี่ก็ควรพิจารณาตนเองได้แล้ว ว่าทำอะไรที่มันสุดโต่งไปรึเปล่า

ค่ะ สำหรับเรา Otaku ก็เป็นคำบรรยายถึงกลุ่ม Extreme (สุดโต่ง) พวกนั้นเช่นกัน แต่จะโต่งแค่ไหนก็คงแล้วแต่รายบุคคลไป โต่งมากโต่งน้อยตามอัตรา บางระดับก็ยังเป็นที่ยอมรับของเพื่อนฝูงเพราะไม่ก่อความอับอายขายหน้าหรือความเดือดร้อนให้ใคร แต่บางทีอาจถึงขั้นเพื่อนไม่คบ ไม่ว่าตนเองจะทำตัวเองให้ไม่น่าคบ หรือเพื่อน ๆ จะเป็นฝ่ายตีตัวออกห่างก่อนด้วยเหตุผลนานาก็ตาม

และมันไม่ใช่คำประเภท quality ที่จะนำมาใช้อวดโอ่สรรพคุณหรือเยินยอใครเลยค่ะ

สิ่งที่คุณเป็นนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ชื่อสรรพคุณ ชื่อกลุ่ม หรือคำบรรยายที่คนอื่นมอบให้ แต่คือตัวตนของคุณ เนื้อแท้ของคุณ ว่ามีคุณค่าแค่ไหน ดังนั้นมันมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาขนานนามตัวเองหรือคนอื่นว่า Otaku อย่างยัดเยียด ๆ ขนาดนั้น?

อย่างเราเองที่เป็นสาววาย (ยาโอย) ก็รู้ตัวว่าเป็นและชอบ และมีรสนิยมแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระ ไม่ใช่เรื่องที่ควรภาคภูมิใจแล้วเที่ยวไปตีกลองร้องป่าวว่าอิฉันเป็นสาววายนะเจ้าข้าเอ๊ยยยย หรือไปเที่ยวติดประกาศบ่งบอกว่าคนนี้ คนนู้น คนนั้นเป็นสาววายเหมือนอิฉัน!!!

จะไปดึงดูดความสนใจของสังคมทำไมคะ ในเมื่อเราอยู่เงียบ ๆ ของเราก็มีความสุขกับงานอดิเรกชนิดมีรสนิยมเฉพาะทางของเราเองได้ คนอื่นไม่รู้ก็ไม่เสียหาย คนอื่นไม่รู้จักก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลยกับรสนิยมของเรา

และเราจะรู้ได้ยังไงว่า คนอื่นที่เราเที่ยวไปประกาศติดยี่ห้อให้เขา ว่าเป็นสาววาย สาวกวาย เป็นแม่ยกวาย บลา ๆ เขาจะชอบคำที่เราเลือกให้เขา? หรือถึงเขาจะไม่ได้"ไม่ชอบ"ถูกเรียกเช่นนั้น แต่ก็อาจจะไม่ได้อยากเปิดเผยตัวตนก็ได้

ตัวเองอยากจะเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ และถ้ารักจะป่าวประกาศตัวเองก็เรื่องของคุณค่ะ แต่ไม่ต้องมาช่วยประกาศให้ฉัน ขอบคุณนะ เกรงใจมากเลย ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ ขี้เกียจจ่ายค่าโฆษณา

และถ้ามีคนมาชี้ประกาศตัวฉันว่า "นี่ไงสาวโอตาคุยาโอย" อิฉันก็คงจะสะบัดหน้าเชิด เดินหนี ไม่คุยด้วยค่ะ ไม่คบ....

มันเป็นคำญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นใช้กันยังไงก็รู้ ๆ กันอยู่ แต่พอนำเข้ามาประเทศไทย มันถูกแล้วเหรอที่จะมาบัญญัติความหมายใหม่หรือ "usage" ใหม่ให้มัน?

ยกตัวอย่าง....
ใครจะเรียกเส้นโซบะว่าเส้นราเมงก็ตามใจเถิดค่ะ ถ้าจะอ้างว่าก็มันเป็นเส้น ๆ ทำจากแป้งเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่อ่ะกิ๊ฟฟฟฟฟ มันม่ายช่ายยย! อิฉัน(และคนอื่น ๆ)ไม่เรียกด้วยหรอกนะคะ! และขอให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าคุณเองก็จะสื่อสารกับคนอื่นได้ยากด้วย ตราบใดที่ยังใช้คำผิดความหมายแบบนี้ต่อไป และอ้างว่ามันเป็นอคติส่วนตัว บลา ๆ ๆ


อ้อ ในกระทู้เห็นมีคนบ่น ๆ ว่าคนไทยปิดกั้น มีอคติกับคำว่าโอตาคุ

แหม ปิดกั้นอะไรคะ คนเราถ้าสนใจเรื่องคล้าย ๆ กันแล้วล่ะก็ไม่มีการแบ่งแยกชัดเจนขนาดว่า "อย่ามาใกล้ชั้น ไปทางโน้นไป๊ ชิ่ว ๆ" หรอกค่ะ แต่ไอ้การแบ่งกลุ่มหรือติดยี่ห้อว่าเป็นโอตาคุ บลา ๆ ๆ นี่ต่างหากล่ะคะ ที่จะปิดกั้นตัวคุณเอง ก็คนที่มาชี้บอกหรือเรียกคนอื่น(และตัวเอง)ว่าโอตาคุเนี่ยไม่ใช่เหรือคะ ที่กำลังแบ่งกลุ่มแยกออกไปใหม่เอง? ก็ดูเอาแล้วกันว่าใครกันแน่ที่แบ่งแยกหรือปิดกั้น

ถึงจะไม่ได้พูดออกมา หรืออ้างว่าไม่เค้ยไม่เคยแบ่งแยก แต่หลาย ๆ อย่างที่สื่อออกมาโดยนัย ๆ มันทำให้อดคิดไม่ได้ค่ะ

ถ้าอยากเข้าพวกต้องเป็นโอตาคุ?

ถ้าอยากร่วมสนุกด้วยต้องยอมถูกเรียกว่าโอตาคุ?

แบบนี้คนที่ไม่สะดวกใจจะเรียกตัวเองว่าโอตาคุ ก็ต้องมีบ้างล่ะที่สนแต่ไม่ยอมเข้าร่วม

เหอะ ๆ

แล้วจะโอตาคุกันไปเพื่อ??

คนที่ไม่คิดอะไรหรือไม่ถือสาก็อาจจะมีค่ะ แต่ยกตัวอย่างว่าสมมติมีคนหมู่หนึ่งจะไปทำอะไรสักอย่าง เช่น วิ่งมาราธอน แล้วคนที่ให้สัญญาณเริ่มวิ่งดันตะโกนว่า

"เอ้า มาราธอนสำหรับพวกบ้าทั้งหลายกำลังจะเริ่มแล้ว 3 2 1!! Go!"

คนที่ไม่วิ่งเพราะแย้งว่า "ผมไม่บ้า" หรือคนที่ยืนลังเลคิดอยู่ว่า ผมจะเป็น"ไอ้พวกบ้า"กับเค้าดีรึเปล่า ก็คงมีค่ะ และไม่ผิดด้วย คนที่ไม่ถือ และวิ่งโดยคิดว่าก็ผมมาเพื่อวิ่งมาราธอน คนอื่นจะประชาสัมพันธ์งานนี้ว่าไงก็ช่าง ก็คงมีเหมือนกัน

ถ้าในเมื่อนักวิ่งทั้งหมดคือกลุ่มเป้าหมาย คนประกาศก็ควรจะคำนึงถึงทั้งกลุ่ม ไม่ใช่ดูแต่กลุ่มหลังเท่านั้น

การเลือกใช้คำ มีผลในชีวิตจริงและกิจกรรมต่าง ๆ มากค่ะ เพราะคำพูดนั้นวิเศษนัก จะบันดาลให้อะไรสำเร็จหรือล้มเหลวก็ได้ทั้งนั้น จะสร้างมิตรหรือสร้างศัตรูก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับการใช้ให้เหมาะสมจริง ๆ ค่ะ

เออคนประกาศโฆษณาเขาบอกว่า ไม่ได้จำกัดแต่โอตาคุนะ เพลงเนี่ยใคร ๆ ก็ชื่นชอบได้ คอนเสิร์ตก็เปิดเพื่อคนทั่วไป ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่ม บลา ๆ ๆ แต่ไอ้การโหมโฆษณาโดยยึดคำว่าโอตาคุเนี่ย มันชวนให้คิดจริง ๆ ค่ะ รู้สึกเลยค่ะว่ากำลังโดนแบ่งแยก (ไม่ว่าจะแบ่งแยกว่าเราใช่ หรือแบ่งแยกว่าเราไม่ใช่)

ชอบจังคคห.ที่บอกว่า
"คำก็โอตาคุ สองคำก็โอตาคุ (ถ้าจะต่อมุขคุโรมาตี้ต้อง "บรรพบุรุษแกเป็นโอตาคุหรือไงฟะ")"

อย่างฮา!!

ป.ล. อิฉันจะไปดูค่ะ คอนเสิร์ตนี้ แต่อิฉัน "ไม่ ใช่ โอ ตา คุ"
เป็นแค่เพียงเด็กรุ่นเซนต์เซย์ย่า รุ่นดรากอนบอลค่ะ หุ ๆ ๆ

Saturday, May 30, 2009

โกหก ?

งืม

งื่ออออออ

แรงจริง ๆ กระแสแรง และคดีก็แรง

ไปมุงมาจนเมื่อยลูกกะตา บัดนี้เห็นหน้าจอสีม่วงกลายเป็นสีกรมท่า และสีกรมท่าก็มองไม่ออกว่าเขียวหรือน้ำเงิน เอ้อ เอากับมันสิ....

เรื่องโกหกหรือไม่โกหกเนี่ยนะ.... เอ้อ จะว่าไงดี

ปรกติเป็นคนที่ไม่ค่อยกล่าวหาคนอื่นว่าโกหกอยู่แล้ว ประมาณว่าใครเล่าอะไรมาก็เชื่อ โดนอำบ่อย ๆ แต่ก็เชื่อ จะว่าโชคดีก็ได้ที่เวลาโดนอำโดนหลอก จะไม่ค่อยมีพิษมีภัยอะไรกับชีวิต และไม่ได้ไปเสียทรัพย์อะไรให้ใคร ส่วนมากอำกันขำ ๆ มากกว่า

อย่างเช่น ตอนเรียนมัธยม ไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าที่อเมริกา เห็นคุณลุงขับรถเร็วกว่ากำหนด (ถนนติดป้ายกำจัดความเร็ว 55 mph คุณลุงเหยียบไป 60+) เลยถามคุณลุงว่า ขับเร็วแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ คุณลุงบอกว่า "อ๋อ เข็มไมล์มันเสีย จริง ๆ ลุงขับแค่ 40" อืม เราก็เชื่อ แล้วคงทำหน้าเชื่อออกนอกหน้าไปหน่อย คุณลุงกลั้นยิ้ม แล้วสักพักก็หันมาลูบหัวบอกว่า "ไม่ใช่หรอก ที่จริงลุงขับเกินกำหนด แต่แถวนี้ขับเกินแค่ 5-10 ไมล์ เค้าไม่จับ" อืมนะ....

หรืออย่างเพื่อนก๊วนแบดมินตัน ตอนไปเจอกันครั้งแรก มีเพื่อน ๆ ผู้ชายสองคนแนะนำตัวทำนองว่า เฮ้ยเราเรียนมัธยมที่เดียวกันนะ ตอน ม.ต้นที่เธอเคยโดนลูกบาสกระแทกหัวอ่ะ เราขอโทษ เราเป็นคนทำเองแหละ เอ้อ.... ก็ตอนนั้นเราไม่เห็นนี่ว่าใครเป้นคนชู้ตลูกนั้นมาลงหัวเรา (ก็มันโดนแล้วแหง่กไปเลย เพื่อน ๆ หิ้ว ๆ ลาก ๆ ไปพักที่ห้องพยาบาล จะไปรู้ได้ไงว่าใครโยน....) เราก็เชื่อดิ แล้วก็บอกเค้าว่า เออเฮ้ยไม่เป็นไรหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ..... ก็คงทำหน้าตาเชื่อแบบออกหน้าออกตาไปหน่อย เค้าเห็นแล้วสงสาร เลยทนไม่ไหว เฉลยออกมาเองว่า เฮ้ยเราอำเธอ เราไม่ได้เรียนที่นั่น

=_=;;

ถามว่าเราเชื่อคนง่ายเกินไปหน่อยมั้ย?

ไม่รู้สิ

แต่ถึงเราจะเชื่อก็ไม่ได้เชื่อแบบหัวปักหัวปำ หรือรีบไปทำตามที่คนอื่นบอกในทันทีหรอกนะ ส่วนมากที่เชื่อทันทีเลยเนี่ย จะเป็นพวกเรื่องเล่า หรือคำบอกเล่ามากกว่า บางครั้งขนาดตัวเราเอง เรายังไม่แน่ใจเลยว่าเราเชื่อเค้าเพราะเชื่อจริง ๆ หรือเชื่อเพื่อถนอมน้ำใจคนเล่า หรือเชื่อเพราะมารยาทกันแน่?

อย่างเด็กหนุ่มคนนึงที่เจอในเกม FFXI จำไม่ได้ว่าเป็นคนฮ่องกงหรือเปล่า แต่ประมาณว่าไปเรียนที่อเมริกา ที่มีเรื่องมาเล่าบ่อย ๆ เช่น เรื่องมีแฟนสองคน เรื่องแฟนสาวทั้งสองยอมให้มีเซ็กซ์โดยไม่ใส่ถุงยางได้เมื่อถึงวันเลี้ยงฉลองวันเกิด เรื่องตอนนี้แฟนท้องแล้วทั้งคู่ เรื่องเค้ากำลังจะได้เป็นคุณพ่อ เรื่องย้ายไปออสเตรเลียเพื่อไปรอคลอด และเรื่องแฟนหนึ่งในสองคลอดลูกแฝดแล้ว บลา ๆ ๆ เค้าเล่า ๆ มาเราก็เออออตลอด เวลาเค้าถามอะไร ขอคำแนะนำอะไร เราก็ตอบไปบนสมมติฐานว่าเค้าพูดจริงหมด และให้คำแนะนำอย่างจริงจัง

ถามว่า เชื่อมั้ย?

เราก็เชื่อครึ่ง ๆ อะนะ

คนอื่นบอกว่า อย่าไปฟังมัน มันโม้แล้ว มีที่ไหนผู้ใหญ่รับดูแลแบบ home stay ไม่พอ ยังมีบ้านให้อยู่ต่างหาก แล้วปล่อยลูกสาวตัวไปอยู่กับเด็กหนุ่ม แถมยังอยู่บ้านกันแบบ 3 คนผัวเมียอีก

ก็.... ไม่รู้อ่ะ เค้าเล่ามาแบบนี้ มันก็อาจจะจริงมั้ง

แต่ถึงไม่จริงก็ไม่เกี่ยวกับเรา แค่ฟังเรื่องเล่าเฉย ๆ ก็สมมติว่ามันจริงไปก่อน จนกว่าจะมีหลักฐานคัดค้านก็แล้วกัน

คือไม่อยากกล่าวหาหรือฟันธงว่าใครโกหก

เพราะคนเราเนี่ย ถ้าไม่ได้เจอ ไม่ได้ประสบด้วยตัวเองแล้ว แต่เป้นเรื่องที่ฟังคนอื่นมา มันก็ต้องมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ที่มันจะเป็นเรื่องจริงแท้ ๆ เป็นเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้าง หรือเป็นเรื่องไม่จริงเอาซะเลย

ถ้ามีหลักฐานว่า ที่พูดมามันไม่ตรงกับความเป็นจริง ก็ว่าไปอย่าง ยังพิสูจน์ได้ว่าโกหก

แต่บางเรื่องไม่มีทางพิสูจน์ได้ เพราะไม่ได้เก็บหลักฐานอะไรไว้เลย และเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเท่านั้นถึงจะรู้ว่าตัวเองพูดจริงแค่ไหน

อย่างเช่นเรื่องโดนหาว่าให้ญาติผู้ใหญ่เขียน essay (เรียงความ) ให้ หรือไม่ก็ไปจ้างคนอื่นเขียน

อะไรวะ.... ก็ตูนั่งเขียน(พิมพ์)เองจนถึงดึก ๆ ดื่น ๆ ตีสองตีสาม ยังโดนหาว่า a) ไปลอกมา หรือ b) ไปจ้างคนอื่นเขียน พอบอกว่าไม่ใช่นะ ไอเดียเนี่ยได้จากเรื่องที่คุยกับคุณลุง (ช่วงประมาณเดียวกับที่ตูโดนหลอกเรื่องเข็มวัดความเร็วในรถแหละ แสรด..... หรืออาจจะหลังจากนั้นไม่เกิน 2 ปี) ก็โดนข้อหาใหม่ c) การบ้านเนี่ยให้เขียนเอง ไม่ใช่ให้คุณลุงมาช่วย! เอ้า เวร ลุงตูอยู่อเมริกา จะมาช่วยทำการบ้านได้ยังไง!!!! สลัดกล้วย!!

สุด ๆ ของสุด ๆ .... โคตร ๆ ของโคตร ๆ

อารมณ์ตอนนั้นมันแบบ @#$%^@#%^@ (จริง ๆ ตอนนั้นออกแนวมึน ๆ งง ๆ มากกว่า แล้วก็ร้องไห้ด้วย กว่าจะตั้งสติได้ แล้วเริ่มมีเวลาโมโหก็ตอนผ่านไปหลายวันแล้ว) ความยุติธรรมไปอยู่ไหน?! คนพูดจริงโดนหาว่าโกหก จะอธิบายเหตุผลอาจารย์ก็ไม่ฟัง คือเขาตัดสินแบบมีอคติไปแล้วว่า ตูไม่มีความสามารถพอที่จะเขียนเองได้ พอเราบอกว่ามีพยาน(ตอนคิดหัวข้อ essay ไม่ออกเราโทรคุยกับเพื่อน และคยกันเรื่อยเปื่อยจนได้หัวข้อนั้นมา) ก็ยังไม่ยอมฟัง บอกว่าไม่เอาพยาน หาว่า"เพื่อนตูก็ต้องพูดเข้าข้างตู"อีก ฟ้าคคคคค!

มันคือความทุเรศของโลกมนุษย์ค่ะพี่น้อง

ความจริง ไม่สามารถช่วยเหลือเราได้เลยถ้าเราไม่มีอำนาจพอที่จะสำแดงความจริงนั้นให้โลกรู้

ก็แค้นนะ แต่ถ้าถามว่าเราคิดยังไง

ตอนนี้เราคิดว่าเราผิดเองที่อ่อนแอ และไม่กร้าวในเวลาที่ควรกร้าว ทำให้ปกป้องตัวเองและชื่อเสียงของตัวเองไม่ได้ และคงเป็นเพราะบุคลิกของเราเองที่เวลาโดนคำถามแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วดันงง ตกใจ จนทำท่าเหมือนมีพิรุธ อาจารย์เลยไม่ยอมเชื่อ (แต่หลังจากนั้นพอเรารวมสติได้ และพยายามกลับไปคุยอีกครั้ง อาจารย์เองนั่นแหละที่ไม่ยอมคุย ซึ่งข้อนี้เราถือว่าเป็นความใจแคบของเขา เป็นความผิดของเขาที่ไม่ให้โอกาสนักศึกษา)

มันเป็นแผลใจที่ยิ่งใหญ่มากค่ะพี่น้อง....

ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้เสียชื่อเสียงเลยอ่ะนะ เพราะเพื่อนคนอื่นเค้าก็รู้และเข้าใจกันทั้งนั้นว่าเราเขียนเองชัด ๆ.... เรื่องนั้น ผลลัพธ์ของมันก็มีแค่เราเสียเครดิตในสายตาอาจารย์ และเสียโอกาสได้คะแนนจากงานชิ้นที่ "ดีเลิศซะจนโดนกล่าวหาว่าไม่ได้เขียนเอง" (ทั้ง ๆ ที่อีตาอาจารย์คนที่ตรวจ ก็วงแดงจุดที่ต้องแก้ไขมาเต็มเพียบ !@#$%)

สรุปคือแค้นที่ถูกกล่าวหาทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ผิด

เจ็บใจ เจ็บใจ เจ็บใจ!

โกรธตัวเองนะ ที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ หลังจากนั้นเลยคิดไว้ว่าต่อไปนี้จะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างใครอีกแล้ว ตั้งใจไว้ว่า ต่อไปนี้ ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกจงเหยียบคันเร่งพุ่งไปข้างหน้าให้ถึงที่สุด ไล่บี้ให้ราบเป็นหน้ากลองแบบไม่ต้องเหยียบเบรคเลย

ต่อมา ก็ได้มีประสบการณ์ในมุมกลับ....

คือในบอร์ดมีคนตั้งกระทู้เหมือนกันเปี๊ยบ 2 กระทู้ในเวลาที่ห่างกันหลายชั่วโมง เราก็คงประมาณว่าเข้าไปตำหนิในฐานะผู้ดูและเว็บบอร์ด แล้วเจ้าตัวก็ออกมาบอกว่า ไม่ได้เจตนา สงสัยเผลอกด refresh

เราก็....อะไรวะ รีเฟรชบ้าอะไรห่างกันหลายชั่วโมง เชื่อไม่ได้ (ถ้ามันห่างกันแค่ไม่กี่นาทีคงเชื่อทันทีอ่ะ) เลยไปลองดู ว่าโพสต์กระทู้แล้วกด refresh browser มันจะปั๊มกระทู้ซ้ำหรือเปล่า ปรากฏว่าลองแล้วไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ ก็เลยกลับไปตอบว่าคุณคนนั้น ประมาณว่า โกหก ทีหลังจะแก้ตัวก็ขอให้เนียน ๆ หน่อย อะไรทำนองนี้....

จำไม่ได้ละว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เดาว่าเค้าคงออกมาตอบว่าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้เจตนาจริง ๆ

ตอนหลังพอได้ไปถามเพื่อนอีกคนที่เป็นพวกโปรแกรมเมอร์ เค้าบอกว่าเป็นไปได้ที่จะเกิดแบบนั้น แต่ browser ต้องมีการส่งดาต้าซ้ำ

เราก็เลยไปลองใหม่ ลองใหม่ ลองใหม่

ในที่สุดมันก็เกิดเหตุการณ์ปั๊มกระทู้ซ้ำขึ้นมา!

เอาล่ะสิ.... กล่าวหาคนอื่นว่าโกหกไปแล้ว แล้วมันกลายเป็นการกล่าวหาแบบผิด ๆ ทั้ง ๆ ที่เราพยายามพิสูจน์แล้ว และพบว่าข้ออ้างของเขานั้นฟังไม่ขึ้น.... แต่สุดท้ายของท้ายสุดแล้ว มันกลับเป็นไปได้!

ทำไงอ่ะ....

จำความรู้สึกได้แม่นเลยว่าตอนนั้นหน้าชาไปหมด รู้สึกเสียหน้า ขายหน้า แล้วก็อายมาก ๆ แล้ววูบต่อมาก็เสียใจ ว่าเราไปว่าเค้าแรง ๆ แบบนั้น เค้าจะรู้สึกยังไง.... แถมมันเป็นการว่าซึ่งหน้า ในที่สาธารณะ สมาชิกคนอื่น ๆ เปิดกระทู้มาเห็นไม่รู้กี่คนแล้ว!!! ชื่อเค้าคงเน่าเป็นไกลแล้ว เพราะถูกตราหน้าว่าโกหกตอแหล

สุดท้ายเราก็ตั้งกระทู้ประกาศ เพื่อขอโทษเค้าอย่างเป็นทางการ รับผิดทุกประการ และขอโทษที่เชื่อหลักฐานทางเทคโนโลยี(การทดลองกด refresh)มากกว่าเชื่อสมาชิก (แต่เราก็ยังไม่วายรักษาหน้าตัวเองด้วยการบอกว่า เออทีหลังใครกด refresh แล้วอย่าไปเผลอกดปุ่ม resend นะ ไม่งั้นมันจะมีการโพสต์ซ้ำเกิดขึ้น <<< แอบขอความเห็นใจว่า ตูไม่ผิดทั้งหมด มันเป็นความผิดพลาดทางเทคโนโลยี =_=;; เนียนมั้ยตู) ก็รู้สึกดีขึ้นและขายหน้าน้อยลง เมื่อผู้ถูกกล่าหาเขามาลงชื่อรับทราบ และบอกว่าให้อภัย



เออ... ร่ายมาซะยาว สรุปว่าไม่อยากฟันธงว่าใครโกหก

เพราะเรื่องบางเรื่องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่มันอยู่ในจิตใจ มีแต่คนพูดเท่านั้นที่จะรู้ว่าตัวเองพูดจริงหรือโกหก เพราะไม่มีใครอยู่ร่วมในเหตุการณ์เดียวกันด้วย และก็ไม่สามารถย้อนเวลาหรือย้อนสถานที่กลับไปในที่นั้น ๆ ณ วินาทีนั้น เพื่อพิสูจน์ด้วยตาตนเองได้ (เรื่องบางเรื่องต่อให้พยายาม"ทำซ้ำ" แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า ผลลัพธ์จะออกมาเหมือนครั้งแรก)


แต่ถ้าถามต่อ ว่า.... ถ้าคิดว่าเค้าพูดจริง ไม่ได้โกหกแล้วทำไมไม่ช่วยเค้า?

ก็ อย่างที่บอกไปในกระทู้อื่น ๆ หลายกระทู้ มันอยู่ที่พฤติกรรมค่ะ เรื่องโกหก/ไม่โกหก พูดจริง/พูดเว่อร์ มันไม่มีความหมายแล้วล่ะในบัดนี้

คนเรามีหลายด้านค่ะ และไม่ได้มีแต่ด้านดี แต่การจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสะดวกใจนั้น นอกจากจะชอบข้อดีของเพื่อนแล้ว เรายังต้องสามารถยอมรับ(หรือทนได้)กับข้อเสียของเพื่อนด้วย ถ้าข้อดีบางข้อของเพื่อน ไม่อาจโน้มน้าวให้เราอภัยหรือยอมรับข้อเสียของเขา ก็คงเป็นสิทธิ์ของเราที่จะตีตัวออกห่าง หรือถ้าเราอยากแนะนำให้เขาแก้ไขข้อเสียซะ ก็ย่อมทำได้เช่นกัน ส่วนเขาจะทำตามหรือไม่ ทำสำเร็จมากน้อยแค่ไหน และเราจะยอมรับในความพยายามนั้น ยอมอนุโลมผ่อนผันการแก้ไขพฤติกรรมนั้น ๆ และอภัยให้ความผิดในอดีตหรือไม่ ก็อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น

แต่เท่าที่ดูกระแสตอนนี้ สมาชิกทั้งหลายไม่ว่าจะทีมนักสือหรือคนมุง ดูจะไม่พอใจกับ"พฤติกรรมที่แสดงออกในระหว่างถูกซักฟอก" มากกว่าเรื่องที่กำลังซักฟอกกันเสียอีก

Friday, May 15, 2009

คอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นมากกว่าคอลเซ็นเตอร์

คราวก่อนบ่นเรื่องพวกจิตไม่ว่างโทรป่วนคอลเซ็นเตอร์ไปแล้ว หนนี้ขอพูดถึงคนที่พึ่งพิงคอลเซ็นเตอร์จริง ๆ จัง ๆ ในเรื่องคอขาดบาดตายบ้าง....

จากกระทู้ Pantip ตั้งโดยคุณ cookiecompany
--> เกือบทิ้งชีวิตไว้ที่ป่าริมทะเลสาบข้างภูเขาฟูจิเมื่อคืน........ ทำให้เห็นว่า คนเราเมื่อถึงคราวคับขันแล้วล่ะก็ ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ศูนย์รับโทรศัพท์ ซึ่งอยู่ห่างไกลหลายร้อยกิโลเมตร ก็ช่วยให้อุ่นใจ และช่วยให้"รอดตัว"จากปัญหาเฉพาะหน้าได้

จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่า คอลเซ็นเตอร์ ไม่ได้มีหน้าที่หรือความสำคัญเพียงแค่รับโทรศัพท์จากลูกค้า พวกเขาหรือพวกเธอเป็นที่พึ่งในยามยาก ในยามเข้าตาจน ของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการได้ในสถานการณ์มากมายหลายแบบ

จากที่คุณ cookiecompany บรรยายไว้ว่า ทางคอลเซ็นเตอร์อึ้งไปชั่วขณะตอนที่เขาบอกว่าหลงทางอยู่ในป่าริมทะเลสาปภูเขาไฟฟูจิ ก็ชี้ชัดว่าพนักงานคอลเซ็นเตอร์ (ที่ปรกติต่อให้โดนโทรป่วน ก็ยังทำน้ำเสียงราบเรียบและอ่อนหวานอยู่ตลอดเวลา) ก็ถูกอารมณ์และความรู้สึกตกใจ หวาดกลัว หรือหวาดหวั่นจู่โจมได้เหมือนกัน (แหงสิยะ ก็คนเหมือนกันนี่!) และแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นหรือได้ยิน ว่าเธอคนนั้นช่วยเหลือจขกท.อย่างไรบ้าง แต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องสุดความสามารถของเธอแน่ ๆ (ถ้าไปแอบดูตอนนั้น เธออาจจะลนลาน เลิ่กลั่ก เหงื่อแตกเต็มหน้าก็ได้) จึงได้ประสานงานได้รวดเร็วแม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ

แต่อารมณ์หรือจิตใจของเธอล่ะ?

แหมถ้าเป็นเรา มีลูกค้าโทรมาเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น ต้องตื่นเต้นตกใจจนสั่นแน่ ๆ

มีอย่างที่ไหน.... ดึก ๆ ดื่น ๆ ลูกค้าโทรมา บอกหลงทางกลางป่าอยู่ต่างประเทศ แถมแบตก็จะหมด วุ้ย ถ้าเป็นเราคงกลัวแทน ดีไม่ดีอาจจะคิดอะไรไม่ออก

เออแต่จากที่อ่านกระทู้ เธอคนนั้นก็ดูจะงุนงงและตกใจจนคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน เลยได้แต่ถามว่า จะให้ทางเราช่วยเหลืออะไรได้บ้างคะ ดีนะที่คุณคุกกี้แกมีสติดี เลยขอให้ทางคอลเซ็นเตอร์ติดต่อฟร้อนท์โรงแรมให้ คือถ้าเป็นเรานะ ณ วินาทีนั้นคงนึกไม่ออกหรอกว่าคอลเซ็นเตอร์จะช่วยอะไรเราได้บ้าง =_=;;

และทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

เรื่องหนนี้อยากปลอบและบอกว่า "โอ๋ ๆ ๆ ขวัญเอ๋ยขวัญมา" กับทั้งคุณ cookiecompany ผู้ประสบเหตุ และคุณอมราภรณ์ผู้รับเรื่องเลยล่ะ

เรื่องนี้น่าจะใช้เป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์ได้ว่า คอลเซ็นเตอร์มีไว้ช่วยเหลือลูกค้า ไม่ได้มีไว้ป่วนเล่น และคอลเซ็นเตอร์สามารถช่วยเหลือลูกค้าได้จริง ๆ ไม่ได้มีไว้ทำโก้ทำหรูเฉย ๆ !!!

ใครชอบกลั่นแกล้งพนักงานคอลเซ็นเตอร์พึงสังวรณ์ไว้ด้วย บริษัทต่าง ๆ ให้อำนาจคุณ (ลูกค้า) ในการโทรศัพท์ไปโวยวาย ร้องเรียน ฟ้อง หรือขอความช่วยเหลือจากคอลเซ็นเตอร์ได้ ก็จงใช้อำนาจนั้นในทางที่ก่อประโยชน์ ไม่ใช่ใช้อำนาจไปในทางที่ผิด

อย่าลืมว่าพนักงานคอลเซ็นเตอร์ก็เป็นคน เป็นมนุษย์เหมือนกันเรา เราก็ควรจะให้เกียรติเขาด้วย

Tuesday, April 28, 2009

โทรป่วนคอลเซนเตอร์คือแฟชั่น?

เพิ่งได้เข้าไปอ่านและคลิกดู(ฟัง) YouTube จากกระทู้
"ตำรวจขโมยมือถือผมครับ" ในบอร์ดมา....

ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ

เอ่อ....

แบบนี้สินะที่เรียกว่าจิตไม่ว่าง

พักนี้เหมือนมันจะกลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว(รึเปล่า?) เพราะเห็นมีอัพคลิป อัพไฟล์เสียงทำนองนี้แจกกันแพร่หลายจริง ๆ แต่ดูจะเป็นแฟชั่นที่ไม่โสภาเท่าไหร่ ถ้ามีใครทำตามแฟชั่นไร้สาระแบบนี้ จะเรียกว่าชักจูงกันไปในทางที่ผิดก็คงได้

เจ้าของกระทู้ก็แค่ไปเจอคลิป(เสียง)ขำ ๆ เลยเอามาแบ่งปัน อันนั้นไม่ว่ากันนะ คลิปบ้า ๆ บอ ๆ หรืออะไรพวกนี้มันขำอยู่แล้วล่ะ เพราะมันไม่เกี่ยวกับเรา เราเป็นแค่ผู้ดู ผู้ฟังเท่านั้น ฮาได้ ไม่คิดมาก

แต่ที่ข้องใจคือคนที่เป็นคนลงมือทำและอัดเสียงมาอัพแจกเนี่ยสิ

ไม่รู้สมองคิดอะไรอยู่

สำหรับคนโทร ที่โทรเล่น ๆ เอาฮา มันอาจจะสนุก แต่คนรับโทรศัพท์เขาคงไม่สนุกด้วยหรอก ขนาดเราเองนั่งทำงานอยู่ ไม่ได้ทำงานที่ต้องรับโทรศัพท์แบบนี้ทั้งวัน แค่มีคนโทรผิดมาแล้วพูดจาไม่รู้เรื่อง กวนโมโห เรายังโมโหเลย มันทำให้อารมณ์เสีย และไม่ดีต่อสุขภาพจิต

แล้วคิดดูว่าคนทำงาน Customer Support หรือ Call Center ที่ในวันหนึ่ง ๆ เขาต้องรับโทรศัพท์หลายร้อยสาย ต้องใช้สมอง สมาธิ และไหวพริบในการช่วยเหลือลูกค้า แนะนำลูกค้า และช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าตลอดช่วงเวลาทำงานของเขา ต้องมาเจออะไรที่ยียวนป่วนประสาทแบบนี้ มันเป็นการเพิ่มภาระให้สมองและสภาพจิตของเขาโดยไม่มีเหตุอันควร ยิ่งใครกำลังเครียด ๆ อยู๋เจอแบบนี้เข้าอาจจะอยากตะโกนด่าหรืออยากร้องไห้เลยก็ได้

งานรับโทรศัทพ์รับเรื่องร้องเรียน รับฟังปัญหาของลูกค้าสารพัดแบบนี้ มันมีการสะสมความเครียดนะคะ ไม่ใช่ว่าจะชิล ๆ คุยสบาย ๆ ได้ทั้งวัน และพนักงานยังต้องควบคุมอารมณ์มากกว่าปรกติด้วย เพราะบางทีเจอลูกค้าพูดจาไม่รู้เรื่องบ้าง ลูกค้างี่เง่าบ้าง ลูกค้าเอาแต่ใจบ้าง หรือลูกค้าบางคนอาจจะไม่ได้เจตนาจะทำตัวไม่ดี แต่บังเอิญเข้าใจอะไรยาก อาจจะมีการถามซ้ำ ๆ หรือบอกแล้วไม่เข้าใจบ่อย ๆ พนักงานเลยต้องใช้ความพยายามอธิบายมากกว่าเดิมหลายเท่า

พวกเรามนุษย์กินเงินเดือนหรือไม่กินเงินเดือนก็แล้วแต่ ที่ไม่ต้องปวดหัวกับการ "ทำงานด้วยโทรศัพท์" คงไม่อาจเข้าถึงจิตใจอันขมขื่นของพนักงานคอลเซ็นเตอร์ได้ เพราะเวลาเราโทรไปกวนตีนเพื่อน หรือมีเพื่อนโทรมาประสาทแดกใส่เรา เราก็ขำ ๆ ใช่มั้ยล่ะ? เพื่อนกันนี่ คุยเล่น

แต่นี่สำหรับเค้า มันเป็นงาน! งานนะคะ ซีเรียส จริงจัง เล่นไม่ได้ และต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วย

แล้วคิดดูยังมีคนอุตส่าห์โทรไปกลั่นแกล้งเค้าอีก

ความคึกคะนองและสนุกสนานของคนเรา บางครั้งก็ควรจะจำกัดขอบเขตไว้บ้าง ไม่ใช่ไปละเมิดหรือก้าวก่ายคนอื่นแบบนี้ คนเราอยู่ร่วมกันในสังคมก็ควรจะเคารพสิทธิของผู้อื่น ให้เกียรติคู่สนทนา และรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นอกเห็นใจคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ทำตัวเกกมะเหรกเกเรสร้างปัญหาหนักใจให้คนอื่น ไปเบียดเบียนเขาแบบนี้ แล้วก็มานั่งหัวเราะ หรืออัพไฟล์อวดอย่างภาคภูมิใจ มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเยี่ยงนี้

บางคนอาจจะคิดตื้น ๆ แค่ว่า เอาน่า เราทำแค่คนเดียว เราป่วนแค่คนเดียว จะไปเดือดร้อนอะไรมาก.... แต่คิดแบบนี้ก็เหมือนแนวคิดของพวกมักง่ายทิ้งขยะไม่เป็นที่แหละ คิดแค่ว่าเราทิ้งขยะชิ้นเล็ก ๆ แค่ชิ้นเดียว ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก โดยที่ลืมไปว่าขยะชิ้นเล็ก ๆ แต่ถ้ารวมกันหลาย ๆ ชิ้นก็กลายเป็นปริมาณมากได้ ถ้าคนที่คิดมักง่ายเหมือน ๆ กันมีเยอะหลายคน ไอ้ขยะชิ้นเล็ก ๆ นั่นก็จะกลายเป็นกองใหญ่มหึมาในที่สุด แล้วก็จะเกิดอาการ "กวาดเท่าไหร่ก็ไม่หมด ถ้าไม่งดทิ้งขยะ" ขึ้นมา

ถ้าในหนึ่งวันมีคนพูดไม่รู้เรื่องหลาย ๆ คน หรือมีคนเจตนาป่วนคอลเซ็นเตอร์หลาย ๆ คน พนักงานก็น่าสงสารแย่เลย จริงอยู่ว่าพนักงานที่รับโ?รศัพท์นั้นมีหลายคน ไม่ใช่มีแค่คนเดียวง แต่ไม่แน่ อาจจะมีบางคนได้แจ็คพ็อดซวย เจอหลายสายในวันเดียวก็ได้ ไม่มีใครรับประกันได้ว่าความซวยมันจะกระจายเฉลี่ยออกไป

คิดดูว่าตัวเราเอง แค่เจอคนกวนตีน โดยที่แต่ละคนกวนตีนเราแค่ครั้งเดียว เรื่องเดียว แต่วันนั้นเราซวยเจอหลายคนมากวน ความหงุดหงิด ความเครียด ความโมโห ความอัดอั้นอยากด่า อยากเตะมัน ก็จะเพิ่มขึ้น ๆ บางทีถ้าเก็บกดเอาไว้มันก็ระเบิดออกมา อาจจะเตะไอ้คนกวนตีนคนที่ 5 ปลิวข้ามสนามฟุตบอลไป หรืออาจจะด่าคนกวนตีนคนที่ 7 จนร้องไห้กลับบ้านหาแม่ไป แต่คอลเซ็นเตอร์ทำไม่ได้ (หรือ ทำได้แต่ไม่ควรทำ) เพราะมันคืองาน! คำว่าหน้าที่ และความรับผิดชอบมันค้ำคออยู่ เวลาโดนโทรป่วน เขาก็ได้แต่พยายามทำเสียงให้สุภาพที่สุดเท่านั้น....

รังแกคนไม่มีทางสู้นี่ น่าภูมิใจ๊ภูมิใจซะเหลือเกิน! (*ประชด*)

เฮ่อ....

ก็เห็นแล้วล่ะ ว่าไฟล์ใน YouTube นั่นเขาเขียนจั่วหัวไว้ว่า ถ้าเป็นพวกไม่นิยมการป่วนก็อย่าดู และอย่าบ่น เพราะเขาทำมาแจกให้คนดูแล้วขำกัน ไม่ได้แจกเพื่อให้ตัวเองโดนบ่น เราเองกดเข้าไปดูโดยไม่รู้ว่ามันคือคลิป "โชว์เมพ"ป่วนคอลเซ็นเตอร์ มิหนำซ้ำดูแล้วยังเกิดไม่ชอบใจขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องมาบ่นในที่ส่วนตัวของเรา ที่ซึ่งเราจะใช้เขียนอะไรก็ได้ตราบที่ไม่ก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น เพราะมันคือความคิดเห็นส่วนบุคคล หุ ๆ

Monday, April 27, 2009

คุณรู้จัก Gamer's Gate ได้อย่างไร

กระทู้ถามเรื่อง "คุณรู้จัก Gamer's Gate ได้อย่างไร" นี่เป็นอีกหนึ่งในกระทู้ยอดฮิตที่หายาก

เอ๊ะ? ยอดฮิตแล้วมันหายากยังไง?

ก็ เป็นกระทู้ที่ไม่ได้มีเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้มามาบ่อย ๆ กล่าวคือจะมีคนตั้งเฉลี่ยประมาณปีละหน หรือเว้นนานก็ 2 ปีหน ดังนั้นถึงจะซ้ำซากอยู่หน่อย ๆ แต่หลาย ๆ คนก็ยินดีที่จะตอบ และบางคนก็ไม่เคยเห็นกระทู้ก่อนหน้านี้มาก่อน ก็จะยังรู้สึกว่าเป็นกระทู้แปลกใหม่อยู่

ล่าสุดของปีนี้ ก็คือกระทู้นี้ >> ทุกคนรู้จักgamer-gateได้ยังไง??(กระทู้อยากรู้เรื่องชาวบ้านเค้า)

ก็ได้เข้าไปตอบอีกครั้ง อิ ๆ

แล้วก็รื้อกระทู้เก่า ๆ ออกมาดู เจอกระทู้ของปี 2006!
[อยากรู้อยากเห็น]ทุกท่านรู้จัก Gamer's Gate ได้อย่างไร

นอกจากนี้ยังเจอกระทู้ขำ(โคตร ๆ)
ก่อนที่บอร์ดใหม่จะเสร็จ : มาสารภาพความผิดในบอร์ดนี้ กันเถอะ ...


อ่านแล้วมันฮาจริง ๆ ให้ตายเถอะโรบิ้น!
สมาชิกหน้าเก่าที่ปัจจุบันแสนจะเรียบร้อยและสุภาพ เมื่อก่อนแต่ละคนโชกโชนทั้งนั้น! แหม ก็แน่ล่ะ คนเราบางทีก็คึกคะนอง แต่พอรู้แล้วว่าไม่ดีก็เลิกทำ แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าคนดีชอบแก้ไข คือรู้ว่าเคยทำผิดก็ปรับปรุงตัว ไม่ให้ผิดเหมือนเดิมอีก น่ารักดีนะ ^^

เฮ้ย เริ่มนอกเรื่องไปไกล....

กลับมาคำถามเรื่อง รู้จัก GG ได้ยังไง?

ย้อนอดีตไปไกลแสนไกล เมื่อปี 2543 สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 เคยไปเข้าบอร์ดที่แสนสยดสยองและน่ากลัวแห่งหนึ่ง คือบอร์ดเลมอน.... ในนั้นน่ากลัวมาก เทียบแล้วก็ประมาณแดนเถื่อน ไม่มีตำรวจ (หรือมีตำรวจแต่ตำรวจโดนโจรกระทืบตายไปแล้ว) คือด่ากันเละเลย ใครไม่พอใจใครก็ด่ากันอย่างไม่ไว้หน้า มารยาททางสังคมและมารยาทในเว็บบอร์ดทุกข้อถูกสมาชิกละเมิดกันหมด คนละข้อสองข้อ หรือบางคนละเมิดทุกข้อก็มี (โอ้วววว บร๊ะเจ้าจ๊อด มันรอดยาก)

หลังจากที่ไปหลงอยู่ในวังวนอันน่าสยองพองขนนั้นอยู่หลายเดือน และพบว่า หลักเหตุและผล และการพูดจาแบบสุภาพชนนั้นใช้เอาชนะคนพาลที่มาเป็นหมู่มากไม่ได้ ก็เลยเลิกเล่นเว็บบอร์ดไปเลย ด้วยความเหนื่อยหน่ายและระอา จนกระทั่งเพื่อนสุดที่รัก Zero (เซโร่ หรือชื่อเล่นจริง ๆ ว่า โช) ก็เขียนจดหมาย ems มาบอกว่า ตอนนี้เล่นอยู่ที่เว็บ Gamer's Gate ให้ลองเข้าไปดูทาง URL นี้ ๆ นั้น ๆ แล้วจะได้คุยกัน

ฮู้วววววววววววววววว~

แล้วเราก็ได้พบกัน!

สมัยนั้นบอร์ดยังอยู่กับ siamstreet ล่ะมั้ง เป็นบอร์ดพื้นหลังขาว ตัวกระทู้ก็ขาว มีกรอบรอบ reply เป็นเส้นบาง ๆ เส้นเดียว บอร์ดยังไม่มีลูกเล่นอะไรมาก และสมาชิกก็ยังน้อยอยู่ เราก็เข้าไป "ปั่นกระทู้" คือเจอกระทู้ของ Zero กระทู้ไหนก็ตอบหมดเลย (กลัวเพื่อนไม่รู้ว่ามาสมัครสมาชิกแล้ว =_=;;) ผลก็คือ เลเวลพุ่งกระฉูด รู้สึกว่าจะเลเวล 20 ใน 3 วันล่ะมั้ง....

ดีนะไม่โดน Dark Force.... หรือไม่ก็ ที่ไม่โดนเพราะเราไม่ได้ตอบแบบชุ่ย ๆ แต่ตอบแบบพูดคุยไปเรื่อย พอจะมีสาระอยู่บ้าง (รึเปล่า?)

มาถึงตอนนี้ ย้อนกลับไปดูตัวเองสมัยนั้น แหม ช่างเป็นเด็กที่คึกอะไรขนาดนั้น ถ้าใช้มาตรฐานตอนนี้ล่ะก็ Shin ในอดีตคงโดนใบเหลืองไปแล้ว 2 ใบ หรือไม่ก็ใบแดง 1 ใบเต็ม ๆ 555!!! คือถึงจะไม่ถึงขนาดโดนแบน แต่ต้องโดนเตือนแน่ ๆ

เอาเป็นว่าเรื่องยาวเล่าให้สั้น (นี่สั้นแล้วเหรอ?!) ก็ติดใจในสังคมอันสงบสุขและเปี่ยมด้วยอัธยาศัยของ Gamer's Gate อย่างที่เราไม่เคยประสบที่อื่นมาก่อน (ยิ่งมาเจอที่แบบนี้หลังฝ่าสมรภูมิสงครามด่ามาจากเลมอนแล้วยิ่งประจับใจ เอิ๊ก ๆ) ก็เลยทำให้สิงอยู่ที่บอร์ด GG ยาวนานมาถึงปัจจุบัน ปี 2552.... 9 ปีแล้วสิเนี่ย เหอ ๆ!

สำหรับเราตอนนี้ Gamer's Gate ก็คือบ้าน

แม้ว่าตอนนี้บ้านจะเก่า จะผุ จะคับแคบลงเพราะแออัดยัดทะนานไปด้วยสมาชิกที่เนืองแน่น โดยที่ไม่ได้สนิทสนมใกล้ชิดกันเหมือนเมื่อสมัยมีสมาชิกแค่ 100 คน....... แต่ก็ยังเป็นบ้าน เป็นบ้านที่เรารักอยู่เหมือนเดิม

เพิ่งจำได้ว่ามี ID อยู่ที่ Blogger

555!!!

ตามประสาคนชอบทำบล็อก แต่ชอบดอง และชอบลืม ก็เลยไม่ได้อัพบล็อกที่นี่มานานโขแล้ว จนกลับไปอ่าน talk เก่า ๆ ของในบอร์ด GG แล้วเห็นว่าเออ เราย้าย server ครั้งหนึ่งเมื่อก่อนเข้าเดือนเมษายน แต่ไม่ได้อัพบล็อก ทั้ง ๆ ที่บล็อก gamer-gate ที่เปิดไว้ที่ blogger เนี่ย มีไว้เป็นแหล่งรวมพลคนเร่ร่อน ในยามคับขัน หรือในยามบ้านแตกสาแหรกขาดแท้ ๆ

เอาเป็นว่าต่อไปนี้ถ้ามีข่าวคราวอะไรที่เกี่ยวกับบอร์ด แต่ติดต่อกันผ่านบอร์ดไม่ได้ (เพราะบอร์ดล่ม หรือซ่อม server หรืออะไรก็ตามแต่) ขอให้สมาชิกทุกท่านมาติดตามความเคลื่อนไหวเอาแถว ๆ นี้ก็แล้วกัน