Saturday, June 13, 2009

ซ้ำเติม?

โอ๊ยเบื่อค่ะ คนที่ชอบทำตัวเป็นพ่อพระแม่พระ แล้วบอกว่า "พอเถอะ ใครถูกใครผิดก็อย่าพูดถึงเลย" หรือ "จะไปตำหนิเขาทำไม ซ้ำเติมกันชัด ๆ"

กระแดะค่ะ

โปรดทราบนะคะ คนเราเวลาเกิดปัญหาหรือก่อปัญหาขึ้นมาแล้ว ย่อมต้องมีการพยายามจะแก้ไข แล้วถ้าไม่ขุดให้ลงไปถึงรากของปัญหา ไม่พินิจวิเคราะห์ว่าทำไม เพราะอะไร เหตุใด ปัญหาจึงเกิดขึ้น แล้วเมื่อไหร่มันจะแก้ปัญหาได้ล่ะคะ?

การที่คนอื่นวิจารณ์ด้วยเหตุผล (และข้อเท็จจริง) ว่าเราทำอะไรผิด เราไม่ควรทำอะไร ตำหนิเรา ติเตียนเรา ตักเตือนเรา ไม่ได้หมายความว่าเค้าต้องการซ้ำเติมให้เราล้มแล้วลุกไม่ขึ้น

แต่เค้าอยากให้เมื่อเราลุกได้แล้ว เราจะไม่ล้มอีหรอบเดิม ๆ อีกต่างหาก!

ถ้าไม่รับฟังคำวิจารณ์ ปิดหู ปิดตา มองข้ามความจริงอันโหดร้าย (ที่คนอื่นเอามาประเคนให้) แล้วหันไปฟัง ไปซุกอ้อนอยู่แต่กับกลุ่มคนที่ปลอบใจเรา โอ๋เรา เข้าใจเรา และไม่เค้ยไม่เคยที่จะตำหนิเราเลย....คนเราจะเติบใหญ่ได้หรือคะ?

จะเติบโตได้ต้องรับไว้ทั้งการชมเชยและการติเตียน

การชมเชยมีไว้เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันเมื่อเราทำดี ทำถูก ทำสำเร็จ จะได้มีพลังในการทำสิ่งอื่นที่ดีต่อ ๆ ไป

การติเตียนมีไว้เพื่อสั่งสอนเราให้หลาบจำ ว่าอะไรไม่ควร อะไรที่ทำให้เราพลาด เพื่อที่ในอนาคตเราจะได้ไม่ทำพลาดซ้ำอีก

เด็กที่เลือกกินแต่อาหารที่มีรสชาติดี อาหารที่ตนชอบ กินขนมหวานเพราะอร่อย โดยไม่ยอมกินผักที่ขม ๆ หรือปลาที่คาว ๆ ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์แค่เพราะคิดว่ามันไม่อร่อย ย่อมโตมาเป็นเด็กสุขภาพไม่แข็งแรง และอาจจะขาดสารอาหารด้วย

ชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เปรียบได้เช่นนั้นแหละค่ะ

คนเราไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดพลาด แต่คนที่ผิดพลาดแล้วต่างหาก ที่ต้องเลือกว่าเราจะยอมรับความจริง ยอมรับความผิดพลาดของเรา แล้วน้อมรับฟังความคิดเห็น คำวิจารณ์ คำตำหนิติเตียนไว้ เพื่อนำมาเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงตนเองหรือสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นหรือไม่

ใช่ค่ะอดีตแก้ไขไม่ได้

พูดไปตอนนี้ (หลังจากเกิดความเสียหาย ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว) ก็ไม่ได้ช่วยให้อดีตดีขึ้น และไม่ได้ช่วยให้ปัญหาหายไป

แต่ก็เพราะว่าคนเราแก้ไขอดีตไม่ได้น่ะสิคะ ถึงต้องมีการวิจารณ์เกิดขึ้น!

เพื่อนำมาปฏิบัติในปัจจุบัน และส่งเสริมอนาคตให้ดีกว่าอดีต!!!!

ถ้ามีใครติเพื่อก่อ ให้เหตุผลตามความเป็นจริง พูดเรื่องจริง ต่อให้มันทิ่มแทง เสียดแทงใจคุณ แต่ในเมื่อคุณทำผิดจริง ๆ คุณก็ควรจะรับมันไว้ และนำมาปรับปรุงตนเองต่อไป

แต่ที่แย่สำหรับผู้ทำผิดพลาด บางครั้งก็ไม่ใช่ตัวเอง แต่อาจเป็นคนรอบข้างที่โอ๋จนเกินเหตุ พอมีใครมาบอกความจริง มาวิจารณ์ตรง ๆ มาติเตียน ก็ตั้งป้อมต่อว่า หาว่าคนอื่นซ้ำเติม เหยียบย่ำ แล้วคนโอ๋ก็ช่วยกันปิดหูปิดตา โอบอุ้มคนผิดพลาดให้อยู่ในโลกจอมปลอมของการปลอบใจต่อไป

ถ้ามีแต่คนมาชี้ด่า หาว่าเหยียบย่ำ ซ้ำเติม อีกหน่อยก็จะไม่มีใครกล้าวิจารณ์ ไม่มีใครกล้าติ เมื่อไม่มีการติ ก็ไม่มีใครชี้ให้เห็นถึงข้อเสียหรือสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วมนุษยชาติก็จะไม่เจิญก้าวหน้า....

เพื่อนแท้ไม่ใช่คนที่ยิ้มให้เราทุกสถานการณ์ แต่คือคนที่ยอมบึ้งตึงใส่เราเมื่อเห็นว่าเรามีข้อเสีย และยอมตักเตือนเราเพื่อให้เราปรับปรุงตน แทนที่จะปล่อยให้ข้อเสียของเราคาราคาซังอยู่แบบนั้นโดยแสร้งทำเป็นลืมหรือมองไม่เห็น

คำพังเพยไทยยังใช้ได้อยู่นะคะ....
"หวานเป็นลม ขมเป็นยา"

นี่แหละค่ะคือมุมมองของฉันในเรื่องนี้

No comments: