Tuesday, June 16, 2009

เชิดชูหรือหยามเหยียด?

คำจำกัดความ.... ที่มีใครสักคน หรือหลาย ๆ คน (หรือ....คนหลาย ๆ กลุ่ม) บัญญัติขึ้น และใช้เรียกตนเองหรือผู้อื่น มันช่างวุ่นวายซับซ้อนจริง ๆ

ช่วงนี้ก็มีประเด็นร้อนว่าด้วยคำว่า โอตาคุ (Otaku) อยู่ในบอร์ด

เอ่อ ที่จริงมันก็มีกระทู้เรื่องคำว่าโอตาคุอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ตัวคำศัพท์ คำว่า "โอตาคุ" หรือวิจารณ์ตัวบุคคล ที่ถูกขนานนามว่าโอตาคุ

แต่หนนี้ดูเหมือนมันจะวุ่นและร้อนกว่าเดิม เพราะเป็นกระทู้ของดันไบน์ยอดนักกิน (เอ๊ะ เหมือนจะไม่เกี่ยว?)

คือมันฮ็อตเพราะกระทู้ดูมีความเกี่ยวเนื่องกับอีกกระทู้นึงใน pantip

ส่วนตัวแล้วสำหรับกระทู้โหวตของดันไบน์เรื่องความหมายของคำว่าโอตาคุ.... เรารู้สึกว่า

- เป็นคำที่คนไทยนำมาใช้เกร่อเกินไป (แอบเบื่อเป็นการส่วนตัว ว่างั้นเถอะ ฮ่า ๆ)
- เป็นคำที่คนหลายคนเพิกเฉยต่อความหมายดั้งเดิมในภาษาต้นฉบับ แล้วนำมาใช้แบบหลงผิดอยู่มาก
- เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เป็น brand name เพื่อการโฆษณามากเกินไป
- เป็นคำที่บางคนหลงคิดว่าโก้ เท่ เจ๋ง และใช้เรียกตนเองหรือคนอื่นอย่างเชิดชู (จะบอกว่าเห็นแล้วหมั่นไส้ ก็คงใช่)
- เป็นคำที่หลาย ๆ ครั้ง หรือหลาย ๆ บริบท ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่ก็ยังดั๊นนนมีคนเอามาใช้

อาจจะหัวโบราณ หรือเชยไปหน่อย แต่บางทีเห็นแล้วก็ข้องใจว่า ทำไมต้องโอตาคุ? ใช้คำว่าแฟนคลับ แฟนเพลง แฟนอนิเม คอเพลง คอการ์ตูน ไม่ได้เหรอ? หรือว่าคำญี่ปุ่นมันโก้หรูหว่า โจ๋กว่า? เลยใช้คำไทยหรืออังกฤษแล้วไม่รู้สึกว่า "เพียงพอ"

บางคนอาจจะบอกว่าอ้าว ก็สมัยนี้สังคมเปิดกว้างแล้ว คำมันเลยเริ่มเปลี่ยนความหมายไป คนบางกลุ่มเริ่มยอมรับได้ ไม่ถือว่ามันเป็นคำแง่ลบแล้ว


อืม แต่ว่า "คนบางกลุ่ม" นั่นก็ไม่ใช่ "สังคมทั่วไป" อยู่ดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องพยายามตะเกียกตะกายไปใช้คำที่มีเพียงคนจำนวนไม่มากที่เข้าใจตรงกับเรา หรือมองคำนี้ว่ามีความหมายแบบเดียวกับที่เราต้องการด้วยล่ะ? เพราะถ้าเป็นตัวเราเอง เราเลือกใช้คำที่เข้าใจตรงกันเป็นส่วนใหญ่มากกว่า หรือไม่ก็เลือกคำที่สื่อความหมายตรงกับที่สังคมวงกว้างใช้กันมานานแล้ว ไม่ใช่ไปเลือกคำที่ความหมายเพิ่งกลายพันธุ์ไปมาใช้แทน เพราะบางคน(และน่าจะมีจำนวนมาก)เขาไม่ได้อัพเดทข้อมูลบ่อย ๆ ขนาดนั้น.... ทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารให้เข้าใจความหมายมันยิ่งลดลงไปอีกโดยใช่เหตุ จริงไหม?

จะว่าเป็นพวกขวางโลกก็ได้ แต่เราเองมักจะไม่เห็นด้วยกับการตามกระแส ตามแฟชั่น (โดยเฉพาะการตามแบบเฮตามคนอื่นไปเรื่อย โดยที่ไม่ได้ดูความเหมาะสม) ก็เลยทำให้รู้สึกคิ้วกระตุก ๆ เวลามีใครมาเที่ยวเรียกคนนู้นคนนี้(แบบเชิดชู)ว่าเป็นโอตาคุ แจ๋ว เจ๋ง แน่....

แล้วก็อย่างที่เคยเขียนไว้ในบล็อกอีกหน้า เรื่อง คำก็โอตาคุ สองคำก็โอตาคุ ว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งแยกขนาดนั้น เพราะขอโทษนะ จำต้องพูดตามความสัตย์จริง ว่าเท่าที่เห็นตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ ในปัจจุบันเนี่ย คนที่แบ่งแยก คือคนที่แบ่งแยกแบบเชิดชูความเป็นโอตาคุ มากกว่าคนที่แบ่งแยกเพราะหยามเหยียด

ถ้าไม่อยากถูกมองว่าแปลกแยก แล้วเราจะแบ่งกลุ่มตัวเองออกไปทำไมล่ะเนี่ย?

ถ้าภูมิใจที่ได้เป็น "อะไร" ที่เรานิยามไว้สวยหรูเองแล้ว จะแคร์ทำไมว่าคนอื่นมองคำ "นิยาม" นั้นว่าอย่างไร?

ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ใช่หรือไม่?

ถ้ากลัวไฟแล้วไซร้ย่อมสำแดงว่าเป็นทองไม่แท้?!

คือคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร จะไม่ชอบ จะมองแง่ลบ หรือจะมีอคติกับคำว่าโอตาคุ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาถ้าเราเป็นคนเอาตัวไปผูกอยู่กับคำว่าโอตาคุเอง

แต่ที่จริง.... ถ้าคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าโอตาคุไม่ดีอย่างงู้นอย่างงี้ เช่น ไม่เอาสังคม ไม่มีสามัญสำนึก พูดจาไม่รู้เรื่อง วัน ๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรก ..... เช่นนั้นแล้ว ใครที่ยังพูดรู้เรื่อง มีสามัญสำนึกดีอยู่ ยังมีสังคมภายนอก หรือไม่ได้หมกมุ่นจนเกินเหตุ ก็ย่อมไม่เข้าข่ายโอตาคุในสายตาของผู้วิจารณ์กลุ่มนั้น ดังนั้นจะมาร้องแรกแหกกระเชอ ว่าคนกลุ่มนั้นวิจารณ์เราเสีย ๆ หาย ๆ หรืออคติ เหยียดหยามเรา รังเกียจเรา แบ่งแยกเรา มันก็ไม่ถูกละ เพราะตัวเองไม่ใช่ ไม่ได้เข้าข่ายที่เขาวิจารณ์เสียหน่อย!

แต่ถ้าคุณเอาตัวเองไปผูก ไปยึดติดไว้กับคำว่าโอตาคุ โดยไม่สนใจ "คุณสมบัติ" ที่คนอื่นเขานิยามให้ ก็กลายเป็นว่าไม่ว่าเขาจะว่าอะไรร้าย ๆ ก็เข้าตัวคุณหมด?!

ถ้าคุณสมบัติของเราไม่เข้าข่าย ไม่สมควรโดนรังเกียจ ก็อย่าเอาตัวเองไปผูกติดกับมันสิคะ

อ้อ แล้วก็อย่าลืมว่า อคติ มี 4 ประเภท

1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก หรือชอบ
2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ หรือเกลียด
3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงผิด หรือไม่รู้ ไม่พิจารณา
4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะเกรงอิทธิพล กลัวเสียผลประโยชน์ หรือกลัวเสียชื่อ

อคติจึงไม่ได้มาจากฝ่ายที่ "ไม่ชอบ" เท่านั้นเสมอไป

สรุปอีกครั้ง Final word... ความเห็นส่วนตัวนะคะ

คนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร จะไม่ชอบ จะมองแง่ลบ จะเลือกแปลแต่ความหมายด้านร้าย หรือจะโทสาคติกับคำว่าโอตาคุ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าเราน่ะแหละที่เป็นคนเอาตัวของเราไปผูกอยู่กับคำว่าโอตาคุเอง

1 comment:

Moji said...

เพิ่งนึกได้ทีหลัง แต่ไม่อยากเอาไปใส่ใน entry ละ เพราะมันยาวเยิ่นเย้ออยู่แล้ว แล้วอันนี้ก็หาสาระไม่ค่อยได้ด้วย แปะในคอมเมนท์ละกัน

------------------------------------

ยกตัวอย่างขำ ๆ

สมมติมีคนกระทบกระเทียบว่า ฮู้ยเบื่อ อีพวกสาวทึนทึก

แล้วมีคนงง ถามว่า "สาวทึนทึก" แปลว่าอะไร

คน ตอบตอบว่า ก็พวกขึ้นคานไง ผู้ชายไม่เอา ก็ดูสินิสัยแบบนี้ใครจะมาสน มาคอยจับผิดกันอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ไม่ออกไปทำงาน อยู่แต่ในบ้านในช่องหรือไง ทำไมไม่รู้จักออกไปหาความบันเทิงเปิดหูเปิดตามั่ง เช้ายันเย็นนั่งเฝ้าแต่กระทู้รึเปล่าเนี่ย ไม่มีอะไรอย่างอื่นจะทำแล้วหรือไง มาบ่นในกระทู้อยู่ได้ ขี้บ่นยังกับยายแก่เหนียงยาน สงสัยตัวจริงเป็นป้าหน้าตาอัปลักษณ์ แต่งหน้าแต่งตาไม่เป็น ทำตัวเพิ้ง ๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง แฟนก็ไม่มีแหง ๆ เลยเก็บกดต้องมาระบายตามอินเทอร์เน็ตแบบนี้

สมมติว่าผู้หญิงคนที่ถูกว่านั้น
- อยู่บ้านจริง แต่ทำงานที่บ้าน
- ออกจากบ้านเป็นกิจวัตร
- เฝ้ากระทู้แค่ครึ่งวัน
- มีกิจกรรมทำมากมาย แค่ไม่เคยโฆษณาเท่านั้น
- ตัวจริงยังสาว หน้าตาใช้ได้ รู้จักเสริมสวยเหมือนกัน
- มีแฟนแล้ว และไม่ได้มีวี่แววจะเลิกหรือขึ้นคาน

She ย่อมไม่สะดุ้งสะเทือน แล้วเชิดหน้าบอกว่า "ถึงชั้นจะเป็นสาวโสด แต่ไม่ใช่ทึนทึก!" แล้วก็หัวเราะโฮะ ๆ ๆ ๆ แบบชิราโทริ เรย์โกะ พลางเดินจากไป